กรุงเทพฯ--29 พ.ย.--บริษัท นิช คาร์
Automobili Lamborghini ขอเสนอนวัตกรรมใหม่ทางยานยนต์ คุณจะได้พบกับ กาญาร์โดที่ปราดเปรียวขึ้น (รีดน้ำหนักลงกว่า 100 กิโลกรัม) พลังที่มากขึ้น (530 แรงม้า ที่ 8,000 รอบ) ความเร็วที่สูงขึ้น (แค่ 3.80 วินาทีในการไต่เพดานทะลุ 0 — 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ความภูมิใจที่มากขึ้น (2.5 กิโลกรัมต่อแรงม้า อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าดีที่สุด) ยังจะมีคันไหนที่คุณว่าดีกว่านี้อีก… “กาญาร์โด ซูเปอร์เรจจิร่า” (Gallardo Superleggera)
ขอบคุณพลังที่มากขึ้นจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยี
เครื่องยนต์ 5.0 ลิตร วี10 ของ “แลมบอร์กินี กาญาร์โด ซูเปอร์เรจจิร่า” ที่รีดพลังได้ถึง 530 แรงม้า จากการพัฒนาเสริมในส่วนของท่อไอดี ที่รับอากาศเข้ามามากขึ้น ท่อไอเสียปรับปรุงใหม่ให้ระบบแรงดันย้อนกลับน้อยลง พร้อมพัฒนาช่วงล่างใหม่ให้รองรับทุกขุมกำลังที่ถูกเค้นออกมากับดับเบิลวิชโบน เพื่อการเกาะถนน และทรงตัวที่ดีขึ้น
ขอบคุณความเร็วที่สูงขึ้นจากโครงสร้างที่แสนเบา
วิศวกรของแลมบอร์กินีลดน้ำหนักของ ซูเปอร์เรจจิร่า ลง 100 กิโลกรัม ลดการใช้โลหะ นำวัสดุที่สร้างขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์มาแทนที่ในส่วนต่าง ๆ เช่น วงล้อใหม่ ฝาครอบเครื่องยนต์ กระจกมองข้าง กระจกมองหลัง สปอยเลอร์ด้านหลัง การจกบางกว่าเดิม และอุปกรณ์ตกแต่งในห้องโดยสาร ทำให้สามารถรีดน้ำหนักลงไปเหลือ 1,330 กิโลกรัม
ขอบคุณความพิเศษของรายละเอียด และอุปกรณ์เสริมจาก Automobili Lamborghini
ระบบเกียร์กึ่งอัตโนมัติ ที่เรียกว่า “E-Gear” หรือจะเลือกเป็นแบบธรรมดา 6 จังหวะก็ได้ สีเมทัลลิกภายนอกคันมีให้เลือก 4 สี เหลือง(Midas Yellow), สีส้ม(Borealis Orange), สีเทา(Telesto Grey) และสีดำ(Noctis Black) บนเบาะนั่งและด้านข้างรถพิมพ์ตัวอักษร
Superleggera ขนาดใหญ่ ภายในปู Alcantara สีดำ แถมด้วยลายรูปหกเหลี่ยมวิ่งตรงคอนโซล เบาะ หลังคาภายในตามสีของตัวรถ วงล้อลายใหม่ “Scorpius” ระบบมัลติมีเดียต่าง ๆ กล้องมองหลังเพื่อง่ายในการจอด เข็มขัดนิรภัยแบบ 4 จุด พวงมาลัยหุ้มคาร์บอนไฟเบอร์สลับ Alcantara และคาร์บอนเซรามิกเบรก
SPECIFICATION
เครื่องยนต์ : วี10 5.0 ลิตร เครื่องวางกลาง
ปริมาตรกระบอกสูบ : 4,961 ซี.ซี.
กันสะเทือนหน้า/หลัง : ดับเบิลวิชโบน เหล็กกันโครง
แรงม้าสูงสุด : 530 hp / 8,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด : 510 Nm / 4,250 รอบต่อนาที
ความเร็วสูงสุด : 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. : 3.8 วินาที
ระบบส่งกำลัง : กึ่งอัตโนมัติ 6 สปีด (E — Gear)
ระบบขับเคลื่อน : 4 ล้อ ฟูลไทม์ พร้อมระบบ Traction Control
ขนาดยางและล้อ : หน้า 235 / 35 ZR 19
หลัง 295 / 30 ZR 19
มิติตัวถัง : 1,900 x 4,300 x 1,165 มิลลิเมตร
น้ำหนักรถเปล่า : 1,330 กิโลกรัม
ความจุถังน้ำมัน : 90 ลิตร
ราคา : 26,500,000 บาท
“GALLARDO SPYDER”
แลมบอร์กินี กาญาร์โด สไปเดอร์
เพียงมองแค่แว๊บแรกคุณจะไม่สามารถที่จะหักห้ามใจกับเสน่ห์ที่เย้ายวน ของกระทิงดุตัวนี้ ที่ทำให้ทุกสายตาต้องหยุดจับจ้อง จากการออกมาให้ได้ยลโฉมกันครั้งแรกภายในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์
Robb Report Magazine จัดกระทิงดุเปิดหลังคาเป็นสุดยอดแห่งปี
แลมบอร์กินี กาญาร์โด สไปเดอร์ (Lamborghini Gallardo Spyder) รูปทรงเฉียบคมดั่งใบมีด ร่างกายที่หลอมรวมจากอะลูมิเนียม บ่งบอกถึงความเป็นโมเดิร์น สปอร์ต คาร์ อย่างลงตัว ผนวกกับความเร็วสูง การควบคุมที่แม่นยำ และการขับขี่ที่สะดวกสบาย ทำให้ กาญาร์โด สไปเดอร์ เป็นคำตอบที่ลงตัวของผู้ที่แสวงหา ความสุดยอดแห่งการขับขี่
สำหรับผู้ที่หลงใหลเครื่องยนตร์ V-10 และ V-12ของรุ่นพี่อย่างมูร์เชียลาโก หรือ Corvette Z06 ส่งผลให้ กาญาร์โด สไปเดอร์ เป็นความลงตัวของผู้ที่ชอบ แรงบิดอันมหาศาลที่ 8,000 รอบต่อนาที ด้วยการควบคุมของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ all-time ระบบ traction control และระบบเบรคที่ดีที่สุด ทำให้ กาญาร์โด สไปเดอร์ เป็นรถที่เร็วและปลอดภัยสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสุดยอดของ Super car จากการจัดอันดับของ Robb Report Magazine (Best of the best 2006)
จุดเด่น
การออกแบบที่ลงตัว และการใช้วัสดุผ้าแบบพิเศษสีดำควบคุมการทำงานด้วยระบบอีเลคโทนิคส์ เปิด-ปิดใช้เวลาเพียงแค่ 20 วินาทีเท่านั้น พร้อมทั้งพละกำลังอันเต็มเปี่ยมในระดับแรงม้า 520 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิดที่ 510 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 6 สปิด อี — เกียร์ ขับเคลื่อน 4 ล้อ กับเครื่องยนต์วี 10 ขนาด 4,961 ซีซี เครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกาญาร์โด ล้อแม็กใหม่ขนาด 19 นิ้ว อัตราเร่งจาก 0 — 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 4.3 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 307 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตอนเปิดหลังคา และเปลี่ยนเป้นความเร็วสูงสุดที่ 314 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อปิดหลังคา สมกับความดุของกระทิงเปิดหลังคาตัวนี้จริง ๆ
SPECIFICATION
เครื่องยนต์ : V10 90 องศา ขนาด 4,961 cc.
แรงม้าสูงสุด : 520 hp / 8,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด : 510 Nm / 4,500 รอบต่อนาที
ความเร็วสูงสุด : 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อัตราเร่ง0-100 ก.ม./ช.ม. : 3.8 วินาที
ระบบขับเคลื่อน : 4 ล้อ ฟูลไทม์
ระบบส่งกำลัง : อีเกียร์ (6 สปีด + ถอยหลัง)
ขนาดยางและล้อ : หน้า 235/35 ZR19
หลัง 295/30 ZR19
มิติตัวถัง : 4,000 x 1,900 x 1,165 มิลลิเมตร
ฐานล้อหน้า / หลัง : 2,560 มิลลิเมตร
น้ำหนักรถเปล่า : 1,470 กิโลกรัม
ความจุถังน้ำมัน : 80 ลิตร
ราคาขาย : 25,500,000 บาท
ประวัติบริษัทนิช คาร์
มากกว่า 20 ปีแล้วที่บริษัทเบนซ์ นครินทร์ ออโต้กรุ๊ป จำกัด ภายใต้การนำของนักธุรกิจอย่าง “คุณเสรี รักษ์วิทย์” ได้ทำความฝันของธุรกิจรถยนต์ชั้นนำให้กลายเป็นความจริงในประเทศไทย คุณเสรีเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มากมายหลายเเบรนด์ จนปลายปี 2533 คุณเสรี ได้เปิดโชว์รูมรถยนต์ซึ่งสามารถบรรจุรถยนต์ได้มากกว่า 40 คัน และรวมถึงอุปกรณ์การซ่อมบำรุงสำหรับรถยนต์มากกว่า 100 คัน ซึ่งถือว่าเป็นโชว์รูมรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ในปี 2546 บริษัทฯ ได้ตัดสินใจที่จะดำเนินธุรกิจโดยเน้นไปที่เเบรนด์ที่สามารถรองรับลูกค้าระดับเเนวหน้าผู้หลงใหลในรถยนต์อย่างไม่มีขีดจำกัด ซึ่งเเบรนด์เหล่านี้ได้เเก่ แลมบอร์กินี, ฮัมเมอร์, โลตัส เเละโลรินเซอร์ บริษัทที่รู้จักกันในนามของบริษัท เบนซ์ นครินทร์ ออโต้กรุ๊ป จำกัด มานานหลายปี ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท นิช คาร์” จำกัด เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2546 เพื่อความเหมาะสมในการดำเนินธุรกิจ
เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2546 Lamborghini Bangkok ได้เเยกตัวออกมาเป็นโชว์รูมอิสระภายใต้การนำของบริษัทเเม่อย่าง บริษัท นิช คาร์ จำกัด เเผนงานของบริษัทถูกปรับเปลี่ยนเพื่อความสำเร็จระยะยาวในอนาคต แลมบอร์กินีเติบโต และประสบผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งแลมบอร์กินีสามารถทำยอดขายประจำปีทะลุเป้าได้ภายในเวลา 6 เดือน เเละในส่วนของโลตัส เเละโลรินเซอร์ ก็ยังคงดำเนินไปได้ดีด้วยผลิตภัณฑ์ ใหม่ ๆ และกลุ่มของลูกค้าประจำ
ปัจจุบันนี้บริษัท นิช คาร์ จำกัด เป็นตัวเเทนจำหน่ายรถยนต์ระดับเเนวหน้าในประเทศไทยด้วยบทบาทผู้นำเข้า ทำตลาด และจัดจำหน่ายรถยนต์ระดับซูปเปอร์พรีเมี่ยมอย่างเป็นทางการเพียงผู้เดียวในประเทศไทยของ “บริษัท นิชคาร์ จำกัด” เป็นอีกชื่อหนึ่งที่คนในวงการต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี กับประสบการณ์กว่า 27 ปี โดยมีรถยนต์ที่อยู่ในอาณัติหลากหลาย และครบครัน เริ่มตั้งแต่สุดยอดซูเปอร์คาร์ “แลมบอร์กินี“ (Lamborghini) จากอิตาลี สปอร์ตคาร์อันดับหนึ่งจากประเทศอังกฤษ “ โลตัส” (Lotus) ราชันออฟโรด “ฮัมเมอร์” ( Hummer) จากอเมริกา ชุดแต่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ “โลรินเซอร์” (Lorinser) รวมถึงสปอร์ตพันธุ์หรูจากอังกฤษในนาม “แอสตัน มาร์ติน” (Aston Martin) ก็เข้ามาอยู่ในอาณาจักรการขยายตลาดของบริษัท ส่งผลค่ายรถยนต์นี้กลายเป็นที่จับตามองของทุกคน
เพื่อตอกย้ำความสำเร็จนี้ บริษัท นิช คาร์ จำกัด ซึ่งนำทัพโดย “คุณเสรี รักษ์วิทย์” จึงได้เดินหน้าปรับผังโครงสร้างใหม่ สร้างโชว์รูมขึ้นที่ชั้น 2 สยามพารากอน และจะสร้างโชว์รูม เป็นอาคาร 9 ชั้นที่ถนนสุขุมวิท พร้อมส่งไม้ต่อด้วยการแต่งตั้งทายาทเจเนอเรชั่นที่ 2 ขึ้นมาบริหารงานแทนในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ “วิทวัส ชินบารมี” ด้วยวัย 26 ปี กับวิสัยทัศน์ในการบริหารงานด้วยมุม มองใหม่ ๆ กับการปรับตัวเตรียมพร้อมรับความกดดันต่าง ๆ ที่มากมาย ของนักบริหารหนุ่มรุ่นใหม่ และนี้คือ บริษัท นิช คาร์ จำกัด กับเป้าหมายใหญ่ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถในระดับซูปเปอร์คาร์ และสปอร์ตคาร์ที่ใหญ่ และดีที่สุดในประเทศไทย
ประวัติโลตัส
รถยนต์โลตัสสร้างขึ้นคันแรกในปี 1948 โดย คอลิน แชพแมน(Colin Chapman 1928-1982) ซึ่งเป็นวิศวกรที่หลงใหลในการแข่งขันรถยนต์อย่างมาก ในปี 1952 บริษัทโลตัส เอนเจอร์เนียริ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างเป็นโรงงานในการผลิตรถแข่งที่ตอนเหนือของลอนดอน และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 15 ปี บริษัทฯ จึงย้ายสำนักงานใหญ่มาที่ Hethel ในระหว่างปี 1958 ถึงปี 1994 โลตัสตัดสินใจทำทีมลงแข่งรถฟอร์มูล่าวัน และประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ชนะ 79 สนามในการแข่ง รถฟอร์มูล่าวัน ชนะ 7 ครั้งในการแข่ง รถฟอร์มูล่าวันแบบทีม และชนะ 6 ครั้งในประเภทคนขับ ได้เหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิก และชนะเลิศในการแข่งขันอินดี้ 500 ที่ประเทศอเมริกา
บริษัท กรุ๊ป โลตัส จำกัด(มหาชน)
มีการแบ่งการทำงานอย่างชัดเจนในบริษัท กรุ๊ป โลตัส จำกัด(มหาชน) โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือโลตัส คาร์ และ โลตัส เอนเจอร์เนียริ่ง
โลตัส คาร์ ทำหน้าที่ในการสร้าง และขาย รถโลตัส ทั้ง Elise, Exige และ Europa สร้างสปอร์ต คาร์ ให้กับ เจเนอร์เรอมอเตอร์ และสร้างกันชนหน้าและหลังให้กับ Aston Martin V12 Vanquish และประสบความสำเร็จอย่างมากกับ Lotus Cortina, Lotus Chrysler Sunbeam และ Opel/Vauxhall Carlton Supercar
โลตัส เอนเจอร์เนียริ่ง ดูแลให้บริการ เป็นที่ปรึกษาในด้านเทคโนโลยี และการซ่อมบำรุงต่าง ๆ ให้กับตัวแทนต่าง ๆ ทั่วโลกและพัฒนาการผลิต และนวตกรรมใหม่ ๆ ปัจจุบันมีสาขากว่า 77 ที่ และโครงการต่าง ๆ กว่า 226 โครงการทั่วโลก
Lotus Elise R
Lotus Eliseได้รับรางวัลต่าง ๆ มาหลากหลายรางวัลซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพอันดีเยี่ยมของการผลิต ซึ่ง Elise R กับกำลังเครื่องยนต์ 192 แรงม้า และประสิทธิภาพในการเร่ง 0-100 กิโลเมตร แค่ 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 241 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยกุญแจสำคัญคือน้ำหนักที่เบาเพียงแค่ 860 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่ง Elise R ไม่ได้เน้นที่ความเบาเท่านั้น แต่เน้นถึงความปลอดภัยในการขับ ซึ่งรวมถึงรถทุกรุ่นของโลตัสที่ขายให้กับลูกค้าด้วย ซึ่งตัวถังของโลตัสนั้นแข็งแรง และทนต่อแรงกระแทกพอ ซึ่งทั้งหมดถูกต้องตามกฎหมายในการผลิตสปอร์ตคาร์ทุกอย่าง
Elise R มีความเหนือกว่าคันอื่นคืออุปกรณ์มาตรฐานแบบใหม่ และออปชั่นใหม่ ๆ ให้เลือก และรวมถึงน้ำหนักที่เบา ถุงลมนิรภัย การควบคุมรถในขณะที่ลื่นไถล ช่วงล่าง และ ProBax ตัวใหม่ สำหรับคนขับและผู้โดยสาร และมีสีให้เลือกกว่า 20 สีตามความชอบของแต่ละคน
รายละเอียดของอุปกรณ์มาตรฐานต่าง ๆ รวมถึงกระจกไฟฟ้า ไฟด้านหน้า ตกแต่งภายในแบบหนังธรรมดา หรือหนังกลับ ชุดพรม เครื่องเล่นวิทยุ ซีดี เครื่องปรับอุณหภูมิต่าง ๆ ด้วย
Lotus Exige S
Lotus Exige S เป็นตัวล่าสุดที่เข้าสู่สายการผลิตของโลตัส และเป็นสปอร์ต คาร์ อย่างแท้จริง เป็นหนึ่งในรถที่ผลิตขึ้นมาที่มีกำลังมากที่สุดในโลกเมื่อเทียมกับขนาดของเครื่องยนต์
Exige S มีความแข็งแกร่งในขณะที่มีน้ำหนักตัวที่น้อยแค่ 935 กิโลกรัม แต่ให้อัตราส่วนระหว่างกำลังกับน้ำหนักที่ 173.8 kW/tonne (236.4 PS/tonne) อัตราเร่ง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ 4.3 วินาที และถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ 11.1 วินาที ก่อนที่จะไปถึงความเร็วสูงสุดที่ 238 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
กุญแจที่สำคัญคือประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ การควบคุม น้ำหนังของรถที่เบา และในด้านหลักพลศาสตร์(มีแรงกดบนตัวรถที่ 41.2 กิโลกรัม ในขณะขับรถที่ความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีแรงกดที่ 19.3 กิโลกรัม ด้านหน้า และแรงกดด้านหลังที่ 21.9 กิโลกรัม ) เป็นสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดที่จะคิดและออกแบบออกมาโดยเหล่าวิศวกร
Lotus Exige S British GT Special Edition
บริษัท นิช คาร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โลตัสแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ขอแนะนำ Exige S British GT Special Edition ที่ผลิตขึ้นเพียงแค่ 25 คันในโลกเท่านั้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในการคว้าแชมป์รายการ The British GT3 Championship 2006 ของทีมโลตัส ซึ่ง “นิช คาร์” ได้นำเข้ามาจัดจำหน่ายจำนวน 3 คัน
Exige S British GT Special Edition เป็นรถที่มีต้นแบบมาจาก Exige S โดยมีรูปทรงที่แปลกตา กะทัดรัด ดูโฉบเฉี่ยว ทันสมัยเป็นเอกลักษณ์ที่ทางทีมโลตัสออกแบบให้มีความเหมาะสมในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ให้มีความปลอดภัยโดยใช้เทคโนโลยีเช่นเดียวกับรถแข่ง เอกลักษณ์พิเศษของ Exige S British GT Special Edition ตรงที่รถแต่ละคันจะมีเพลทติดด้านท้ายรถเป็นรูปสัญลักษณ์ธงชาติอังกฤษ ชื่อทีม ชื่อรายการ และปีที่แข่ง บ่งบอกความเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่นนี้ ด้านข้างบริเวณหน้าตัวรถมีเพลทชื่อทีม Lotus Sport Cadena ด้านหลังข้างตัวรถมีเพลทตัวเลขแสดงลำดับรถ กระจกด้านหน้ารถส่วนบนมีเพลทคาดเขียนคำว่า “LOTUS SPORT” และสุดท้ายแถบสีเหลืองคาดกลางตัวรถตั้งแต่ด้านหน้าไปด้านท้ายรถที่แสดงให้เห็นความโดดเด่นเฉพาะหนึ่งอีกด้วย นอกจากนี้ภายในก็ถูกออกแบบให้ได้อารมณ์ของรถสปอร์ตพันธุ์ดิบ และเพียบพร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกสไตล์รถแข่ง
โลตัสต้องการที่จะออกแบบรถรุ่นนี้ให้มีความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัวและไม่ซ้ำแบบใคร โดยมีจุดเด่นตรงที่ ล้อแมกซ์อัลลอยซีกคู่ 7 แฉก, เบาะหนังแบบ ProBax แบบสปอร์ตสีดำคาดเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แผงประตูด้านข้างเป็นหนังดำคาดด้วยสีเหลือง พรมปูพื้นภายในให้ความรู้สึกแบบรถแข่ง
Exige S British GT Special Edition คันนี้ ติดตั้งเครื่องยนต์ รหัสเคื่องยนต์ 2ZZ-GE แบบ 4 สูบเรียงวางกลาง ขนาด 1,796 ซีซี. DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 243 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 236 นิวตัน-เมตร ที่ 7,000 รอบต่อนาที และด้วยน้ำหนักตัวรถเพียงแค่ 911 กิโลกรัมเท่านั้น จึงทำให้รถคันนี้สามารถทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาแค่ 3.98 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดก็ทำได้ถึง 249 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Exige S British GT Special Edition มีแค่เพียง 3 คันในประเทศไทยเท่านั้น หมายเลขที่นำเข้ามา คือ 022, 023 และ 024 จาก 25 คันในโลก สำหรับท่านที่สนใจอยากสัมผัสความเท่ห์ที่มีอย่างจำกัดเพียงครั้งเดียวในประเทศไทย ท่านสามารถยลโฉม Exige S British GT Special Edition ได้ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2007 ที่ อิมแพคเมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2550 ทุกวัน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัท นิช คาร์ จำกัด 02-379-4422 ต่อ 137