สจ๊วต ซิคเคอร์แมน & เรแวน เมทซ์เนอร์ (ผู้เขียนบท) เริ่มต้นการร่วมงานกันเมื่อปี 1998 ด้วยการเสนอขายงานที่เป็นพาหนะให้กับแจ็คกี้ ชาน เรื่อง “Nosebleed” นับแต่นั้นมาพวกเขาได้ร่วมกันเขียนบทภาพยนตร์ 12 เรื่องรวมทั้ง “A Cool Breeze on the Underground” ให้กับ New Line Cinema และเรื่อง “Deathlok” ให้กับ Paramount Pictures นอกจากนั้นพวกเขายังได้ทำงานเขียนสคริปท์อีกหลายเรื่อง ทั้งเขียนใหม่และ they have done several script re-writes and “punch-ups.
ซิคเคอร์แมน & เมทซ์เนอร์ เพิ่งผันตัวเองเข้าสู่โลกของโทรทัศน์ ดัดแปลงจากหนังสือเรื่อง Naked Pictures of My Ex-Girlfriend ให้กับผู้กำกับฯ เบร็ตต์ แรทเนอร์ พวกเขาเพิ่งเซ็นสัญญากับสองรายการโชว์ของ Touchstone Television เพื่อทำงานให้กับสองซีรีส์ความยาวหนึ่งชั่วโมง เรื่องหนึ่งทาง ABC และอีกเรื่องหนึ่งทาง WB เน็ตเวิร์ค
อาร์นอน มิลแคน (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้สร้างภาพยนตร์อิสระที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและประสบความสำเร็จในช่วง 25 ปี มีผลงานภาพยนตร์กว่า 70 เรื่อง เกิดในอิสราเอล มิลแคนศึกษาที่ University of Geneva โครงการธุรกิจแรกของเขาคือการแปลงสภาพธุรกิจเล็กๆ ของบิดาให้กลายเป็นบริษัทเคมีเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นในครั้งนั้นเป็นหมือนการทำนายล่วงหน้าถึงชื่อเสียงในตลาดระดับสากลที่กลายเป็นตำนานไปแล้วในตอนนี้ของมิลแคน ถึงความเป็นนักธุรกิจมืออาชีพ อีกไม่นานต่อมา มิลแคนเริ่มเข้าสู่ธุรกิจในแวดวงที่อยู่ในความสนใจเขาเป็นพิเศษมาโดตลอด — ภาพยนตร์, โทรทัศน์ และละครเวที ผลงานเรื่องแรกๆ ได้แก่ ละครของโรมัน โปลันสกี้ เรื่อง “Amadeus,” “Dizengoff 99,” “La Menace,” “The Medusa Touch” และ มินิซีรีส์ เรื่อง “Masada” เมื่อถึงตอนปลายทศวรรษที่ 1980 มิลแคนได้สร้างภาพยนตร์หลายเร่อง ได้แก่ หนังของมาร์ติน สกอร์เซส เรื่อง “The King of Comedy,” หนังของซอร์จิโก้ ลีโอน เรื่อง “Once Upon at Time in America” และหนังของเทอรี่ กิลเลียม เรื่อง “Brazil”
หลังจากความสำเร็จอย่างท่วมทันจากเรื่อง “Pretty Woman” และ “The War of the Roses,” มิลแคนได้ก่อตั้ง New Regency Productions และทำงานสร้างภาพนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างไมม่ขาดสายในเวลาต่อมารวมทั้งเรื่อง “J.F.K,” “Sommersby,” “A Time to Kill,” “Free Willy,” “The Client,” “Tin Cup,” “Under Siege,” “L.A. Confidential,” “The Devil’s Advocate,” “The Negotiator,” “City of Angels,” “Entrapment,” “Fight Club,” “Don’t Say a Word,” “Daredevil” และ “Man on Fire”
ผลงานเรื่องต่อๆ ไป ได้แก่ : “Guess Who”, หนังคอมเมดี้นำแสดงโดย แอชตัน คุชเชอร์ และเบอร์นีย์ แมค กำกับฯ โดย เควิน ร็อดนีย์ ซุลลิแวน; “Mr. and Mrs. Smith,” หนังแอ็คชั่นผจญภัยเซ็กซี่ นำแสดงโดย แบรด พิตต์ และแอนเจลินา โจลี่, กำกับฯ โดย ดัค ไลแมน; “Stay”, หนังระทึกขวัญจากเรื่องจริง แสดงโดยอีแวน แมคเกรเกอร์, นาโอมิ วัตส์ และไรอัน กอสลิงค์, กำกับฯ โดย มาร์ค ฟอสเตอร์; “The Onion Movie,” คอมเมดี้จากฝีมือกำกับฯ ของไมค์ แมคไกวร์ และทอม คันส์; “The Bee Season,” หนังดราม่านำแสดงโดย ริชาร์ด เกียร์ และจูเลียต บินอค, กำกับฯ โดยเดฟ ซีเกล และสก็อต แมคกีฮี; “Little Manhattan,” หนังโรแมนติคคอมเมดี้ นำแสดงโดย แบรดลีย์ วิทฟอร์ด, ซินเธีย นิกสัน, และโจช ฮัทเชอร์สัน และกำกับฯ โดยเจนนิเฟอร์ แฟลคเก็ต และมาร์ค เลวิน; “ภาพยนตร์ยังไม่มีชื่อของลินด์เซย์ โลแฮน ‘Lucky’” หนังคอมเมดี้ นำแสดงโดยลินด์เซย์ โลแฮน และคริส ไพน์ กำกับฯ โดย โดแนลด์ เพทรี; และ “The Fountain,” หนังแฟนตาซี ไซ-ไฟ นำแสดงโดยฮิว แจ็คแมน และเรเชล ไวซ์ กำกับฯ โดย แดเรน อาโรนอฟสกี
ในระหว่างนั้น มิลแคนได้นำ มิลแคน ได้ดึงเอาสองผู้ลงทุนเป็นหุ้นส่วนที่แบ่งปันวิสัยทัศน์เดียวกันกับเขานั้นคือ นักธุรกิจชาว ออสเตรเลียคือ เคอร์รี่ แพ๊คเกอร์ คือบริษัท ไนน์ เน็ทเวิร์ค และ ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ๊อกซ์ ฟ๊อกซ์ ได้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ของ รีเจนซี่ ในทุกสื่อทั่วโลก (ไม่รวม ส่วนที่มีการตกลงไว้กับประเทศเยอรมันนี่) รายการโทรทัศน์ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ของอเมริกา และทั่วโลกรวมไปถึงฟรีทีวีอีกด้วย
มิลแคนยังประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนวงจรธุรกิจบันเทิงในบริษัทของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาจักรของแวดวงโทรทัศน์ผ่านทางบริษัท รีเจนซี่ เทเลวิชั่น (เรื่อง Malcolm in the Middle เรื่อง The Bernie Mac Show และเรื่องกำลังจะออกฉาย คือ“Shacking Up”) รวมทั้ง กีฬาผ่านทางบริษัทร่วมทุนคือ PUMA ซึ่งเป็นบริษัทอุปกรณ์กีฬาและรองเท้ากีฬาที่มีชื่อเสียงของ เยอรมันี นอกจากนี้บริษัท รีเจนซี่ ยังได้ลิขสิทธ์ทางโทรทัศน์เกี่ยวกับการออกอากาศเทนนิสหญิงตั้งแต่ปี 1999 จนถึงปี 2007 และได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดในทวีปยุโรปรายการ Women’s Tennis Association events from จากปี 1999 จนถึง ปี 2007
แกรี่ ฟอสเตอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง) อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องฮิตที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำ เรื่อง “Sleepless in Seattle” ซึ่งทำรายได้รวมมากกว่า $300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั่วโลก
ในปี 1997 ฟอสเตอร์ร่วมหุ้นกับนักเขียน/ผู้กำกับฯ มาร์ค สตีเวน จอห์นสัน เพื่อก่อตั้งบริษัท Horseshoe Bay Productions บริษัทโปรดักชั่นเต็มรูปแบบที่เตรียมการสร้างและกำกับฯ ภาพยนตร์ ในปี 2002 ฟอสเตอร์อำนวยการสร้างเรื่อง “Daredevil” เขียนบทและกำกับฯ โดยจอห์นสัน
ฟอสเตอร์อำนวยการสร้างเรื่อง “The Score” นำแสดงโดยโรเบิร์ต เดอ นีโร, เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน และมาร์ลอน แบรนโด ผลงานภาพยนตร์ของเขา ได้แก่ “Tin Cup,” “Gloria,” “Desperate Measures,” “Big Bully,” “Short Circuit,” “Short Circuit 2,” “The Amazing Panda Adventure,” และ “Just Cause”
สำเร็จการศึกษาจาก University of Southern California ฟอสเตอร์เคยทำงานเป็นผู้ช่วยตัวแทนที่ William Morris Agency ในนิวยอร์คก่อนที่จะเริ่มอาชีพงานสร้างในฐานะผู้ช่วยที่ Turman-Foster Company ที่ Turman-Foster เขาทำงานเรื่อง “Running Scared,” “The Mean Season” และงานดราม่าโทรทัศน์เรื่อว “News at Eleven”
เป็นนักสร้างภาพยนตร์รุ่นที่สอง ฟอสเตอร์เป็นลูกของผู้อำนวยการสร้างชื่อดัง เดวิด ฟอสเตอร์
อาวี อาหรัด (ผู้อำนวยการสร้าง) มีตำแหน่งเป็น President and CEO of Marvel Studios และหัวหน้าหน่วยงานครีเอทีฟผู้รับผิดชอบในการทำให้ตัวละครในการ์ตูนของ Marvel Comics มาสู่ชีวิตบนจอภาพยนตร์ เขาเคยร่วมงานกับบรรดาผู้กำกับฯ ผุ้เขียนบท ผู้อำนวยการสร้าง และผู้บริหารสตูดิโอที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ในการถ่ายโอนตัวละครของมาร์เวลสู่ไลฟ์แอ็คชั่นและภาพยนตร์แอนิเมชั่น
อาหรัดเป็นผู้อำนวยการบริหารให้กับเรื่อง “Spider-Man,” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ทั่วโลก โดยมีโทบี้ แมคไกวร์ รับบทเป็นซูเปอร์ฮีโร่ชักใยอันเป็นที่รักของมาร์เวล กำกับฯ โดยแซม ไรมี่ และแสดงโดย แมคไกวร์, เคอร์สเตน ดันท์ส, วิลเล็ม เดโฟ และเจมส์ ฟรังโก้ ภาพยนตร์เรื่อง “Spider-Man” กลายเป็นหนึ่งในห้าภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุด ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
ภาคสองอันเป็นที่รอคอยเรื่อง “Spider-Man 2” เป็นการร่วมงานกันอีกครั้งของ ไรมี กับทบี้ แมคไกวร์, เคอร์สเตน ดันท์สและเจมส์ ฟรังโก้ และยังมีอัลเฟร็ด โมลิน่า รับบท Doc Ock เช่นเดียวกับเรื่องแรก “Spider-Man 2” ประสบความสำเร็จในระดับบ็อกซ์ออฟฟิศ และเรื่อง “Spider-Man 3” กำลังอยู่ระหว่างการสร้าง
ผลงานเรื่องต่อๆ ไปของอาหรัด ได้แก่ “Fantastic Four” ซึ่งทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์มีกำหนดออกฉาย 2 กรกฎาคม 2005
อาหรัดอำนวยการสร้างเรื่อง “The Hulk” เค้าโครงเรื่องจากหนังสือการ์ตูนชุดเรื่องดังของมาร์เวล และกำกับฯ โดยผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์ อังลี ภาพยนตร์เรื่อง “The Hulk” นำแสดงโดยเอริค บาน่า เป็นบรูซ แบนเนอร์ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะผู้มีปัญหา และเจ้าของรางวัลออสการ์ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี เป็นเบ็ตตี้ รอส นักวิจัยซึ่งเป็นแฟนสาวของเขา
อาหรัดเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “X2” ซึ่งเป็นการร่วมงานอีกครั้งของผู้กำกับฯ ไบรอัน ซิงเกอร์ กับนักแสดงฮิว แจ็คแมน, แพทริค สจ๊วต, เอียน แมคคลแลน และฮัลลี่ แบรี่ จากภาพยนตร์เรื่องก่อน ภาพยนตร์เรื่องฮิตติดอันดับบ็อกซ์ออฟฟิศ “X-Men” ซึ่งอาหรัดเป็นผู้อำนวยการบริหาร อาหรัดยังมีผลงานที่ประสบความสำเร็จระดับบ็อกซ์ออฟฟิศล่าสุด รวมถึงหนังฮิต “Daredevil” นำแสดงโดยเบน แอฟเฟล็ค, เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ และโคลิน ฟาร์เรล ซึ่งอาหรัดได้เป็นผู้อำนวยการสร้าง ขณะนี้ผลงานภาพยนตร์ไลฟ์แอ็คชั่นของอาหรัด ได้แก่ “Ghost Rider,” “Namor,” “Iron Man,” และ “Werewolf by Night” เขาเริ่มสร้างผลงานหนังของมาร์เวลอย่างต่อเนื่องกับเวสลีย์ สไนป์ ในเรื่อง “Blade” และ “Blade II” ให้กับ New Line Cinema
อาหรัดอำนวยการบริหารให้กับการ์ตูนซีรีส์ทางโทรทัศน์เต็มรูปแบบของมาร์เวล รวมทั้ง “Spider-Man” และ ‘X-Men” รายการเด็กสองเรื่องที่มีเรตติ้งสูงสุดทางช่อง Fox Kids Network, รวมทั้ง “Incredible Hulk,” “Fantastic Four,” “Iron Man” และ “Silver Surfer” ก่อนร่วมทีมกับมาร์เวล อาหรัดเคยสร้างผลงานการ์ตูนอย่าง “Conan the Adventurer,” “King Arthur & the Knights of Justice,” “Double Dragon” และ “Bot Master”
สำหรับผลงานไลฟ์แอ็คชั่นโทรทัศน์ อาหรัดได้สร้างและอำนวยการบริหารให้กับเรื่อง “Mutant X” ซึ่งมีเรตติ้งสูงลิ่ว ผลงานรายการทางโทรทัศน์ อาหรัดได้อำนวยการบริหารหนังเทเลฟิล์ม “Generation X” และ “Nick Fury, Agent of S.H.I.E.L.D.”
อาหรัดเป็นผู้เชี่ยวชาญการสร้างความบันเทิงให้ผู้เยาว์มาอย่างยาวนาน เขาเป็นผู้ออกแบบและผลิตของเล่นเด็กที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก และเป็นขุมกำลังรุ่นแรกที่รับผิดชอบในการสร้างชีวิตจากตัวการ์ตูนของมาร์เวลสู่ของเล่น ภาพยนตร์ และโทรทัศน์ เขามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และพัฒนาปรับปรุงสินค้าที่ให้ความบันเทิงหลายสิบชนิด รวมทั้งตุ๊กตาแอ็คชั่นและชุดของเล่น ตุ๊กตา ยานพาหนะ ผลิตภัณฑ์อีเล็คโทรนิคส์ ซอฟท์แวร์ทางการศึกษา และวิดีโอเกมส์ อาหรัดยังได้พัฒนาปรับปรุงสินค้าการ์ตูนโทรทัศน์เพื่อความบันเทิง และของเล่นกับบรรดาบริษัทอย่าง Toy Biz, Hasbro, Mattel, Nintendo, Tiger และ Sega
เมื่อ Marvel Entertainment Group ได้เข้าร่วมกิจการกับ Toy Biz ในเดือนเมษายนปี 1993 อาหรัดได้เข้าร่วมกิจกรรมกับบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ในนิวยอร์คซิตี้ เพื่ออุทิศเวลาของเขาเป็นการเฉพาะให้กับ Toy Biz และ Marvel Studios ในตำแหน่ง Director and Principal of Toy Biz และ President of Marvel Studios อาหรัดยังคงทำงานต่อในการออกแบบ ปรับปรุง และตัดสินใจในการผลิตสินค้า Toy Biz ตั้งแต่แนวคิดเริ่มต้นไปจนกระทั่งการบรรจุหีบห่อขั้นสุดท้าย การโฆษณา และนโยบายสินค้า และเขามีส่วนร่วมในการขยายฐานของบริษัท ในฐานะหัวหอกของการดูแลด้านลิขสิทธิ์ และสิทธิในของเล่นจนถึงเครื่องหมายการค้าและทรัพย์สินนอกจักรวาลของมาร์เวล นับแต่ 1 ตุลาคม ปี1998 Toy Biz ได้เข้าบริหารกิจการของ Marvel Entertainment และรวมสองบริษัทเข้าด้วยกันภายใต้ชื่อ Marvel Enterprises
สแตน ลี (ผู้อำนวยการบริหาร) ประธานของ Emeritus of Marvel Comics เป็นที่รู้จักของคนนับล้านในฐานะผู้ที่บรรดาซูเปอร์ฮีโร่ของเขาได้เป็นแรงผลักดันให้มาร์เวลขึ้นสู่ความรุ่งโรจน์ในวงการหนังสือการ์ตูน ตัวการ์ตูนชื่อดังนับร้อย ที่รวมไปถึง Spider-Man, The Incredible Hulk, The X-Men, The Fantastic Four, Iron Man, Daredevil, The Avengers, Thor และ Dr. Strange ทั้งหมดล้วนเติบโตขึ้นมาจากจินตนาการที่แสนอุดมสมบูรณ์ของเขา
ลีเป็นผู้อำนวยการบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่องดังทะลุฟ้าของโคลัมเบียเรื่อง “Spider-Man” กำกับฯ โดยแซม ไรมี และแสดงโดยโทบี้ แมคไกวร์, เคิร์สเตน ดันส์ท และวิลเลม เดโฟ ภาพยนตร์เรื่อง “Spider-Man” ทำรายได้ถึง $114.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงสุดสัปดาห์แรก ซึ่งเป็นการเปิดตัวในประเทศที่สูงที่สุดตลอดกาล จนถึงวันนี้ ภาพยนตร์ทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิซรวมแล้วเกิน $820 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ลีเป็นผู้อำนวยการบริหารให้กับหนังของอังลีเรื่อง “The Hulk” นำแสดงโดยอีริค บานา และเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี เมื่อภาพยนตร์เปิดฉายเป็นครั้งแรกในบ็อกซ์ออฟฟิศนั้น กวาดรายได้ไปถึง $62.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และทำสถิติเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของเดือนมิถุนายน
ในช่วงต้นทศวรรษที่1960 นั้นเองที่ลีได้ร่วมการทำงานกับสิ่งที่ในไม่ช้าได้กลายมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “The Marvel Age of Comics” ในการสร้างซูเปอร์ฮีโร่ ซึ่งใช้ชีวิตในสไตล์ของพวกที่ทุกคนชื่นชอบรุ่นเก่าอย่าง Captain America, The Human Torch และ The Sub Mariner
ระหว่างการทำงานเป็นเวลา 25 ปีที่มาร์เวลในตำแหน่งผู้ลำดับภาพ, ผู้กำกับศิลป์ และหัวหน้านักเขียน ลีได้เขียนสคริปท์การ์ตูนที่สมบูรณ์ไม่น้อยกว่าสองหรือมากถึงห้าเรื่องต่อสัปดาห์ ผลงานที่ไม่มีใครเทียบได้ของเขาอาจรวมเป็นงานเขียนที่มากกว่าที่ได้รับการตีพิมพ์ของนักเขียนคนใดคนหนึ่ง นอกจากนั้นเขายังเขียนงานให้กับหนังสือพิมพ์ วิทยุ สคริปท์โทรทัศน์ และบทละคร
เมื่อถึงตอนที่เขาได้เป็นผู้พิมพ์ของ Marvel Comics ในปี 1972 การ์ตูนของลีสร้างยอดขายมากที่สุดในประเทศ ในปี 1977 เขาทำให้ตัวละคร Spider-Man เข้ามาอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ในแบบการ์ตูนสั้น การลงพิมพ์เป็นเวลา 7 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเขาทั้งเขียนและเป็นบก.ตั้งแต่เริ่มแรก เป็นการ์ตูนสั้นที่ได้รับความสำเร็จอย่างสูงมากที่สุด และปรากฎอยู่ในหนังสือพิมพ์กว่า 500 ฉบับทั่วโลก
ในปี 1981 มาร์เวลเปิดสตูดิโอแอนิเมชั่นทางฝั่งตะวันตก ลีย้ายไปยังลอสแอนเจลิสเพื่อรับหน้าที่หัวหน้าครีเอทีฟให้กับการผจญภัยในจอภาพยนตร์ของมาร์เวล เขาเริ่มด้วยการแปลงโฉมด้วยการสร้างสรรค์ Spider-Man และ Hulk ให้กลายเป็นรายการโชว์โทรทัศน์เช้าวันเสาร์และเป็นผู้แผ้วถางทางให้กับมาร์เวลในการก้าวเข้าสู่งานภาพยนตร์ไลฟ์แอ็คชั่น
ลีเป็นผู้อำนวยการบริหารให้กับภาพยนตร์ใหญ่ๆ เรื่องฮิต ที่สะสมเป็นรายชื่อยาวขึ้นเรื่อยๆอย่าง “Spider-Man,” “X-Men,” “X2” and “Daredevil”
ผลงานทางโทรทัศน์ของเขารวมไปถึงการเป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมและผู้สร้างสรรค์เรื่อง “Stripperella” ทาง Spike Cable Channel และเป็นผู้อำนวยการบริหารในเรื่อง “Nick Fury” Agent of S.H.I.E.L.D.,” “The Incredible Hulk,” “Generation X,” “Spider-Man” และ “X-Men”
ลีเขียนหนังสือที่ขายดีติดอันดับหลายเล่ม รวมทั้ง The Origins of Marvel Comics, The Best of the Worst, The Silver Surfer, How to Draw Comics the Marvel Way, The Alien Factor, Bring on the Bad Guys, Riftworld, The Superhero Women และล่าสุดอัตถชีวประวัติของตัวเขาเอง Excelsior! The Amazing Life of Stan Lee
มาร์ค สตีเวน จอห์นสัน (ผู้อำนวยการบริหาร) เขียนบทและกำกับฯ ภาพยนตร์เรื่อง “Daredevil,” นำแสดงโดยเบน แอฟเฟล็ค, เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์, โคลิน ฟาร์เรล และไมเคิล คลาร์ค ดันแคน เขาเขียนบทและได้ถูกวางตัวให้กำกับฯ เรื่อง “Ghost Rider” เค้าโครงเรื่องจากหนังสือการ์ตูนของมาร์เวล และนำแสดงโดยนิโคลัส เคจ
จอห์นสันเป็นที่รู้จักดีจากการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องฮิต “Grumpy Old Men” และภาคต่อ “Grumpier Old Men” ทั้งสองเรื่องนำแสดงโดยแจ็ค เลมมอน และวอลเตอร์แมท ธาว สองดาราชื่อก้อง
ในปี 1997 จอห์นสันได้ร่วมทำงานกับผู้อำนวยการสร้างมือเก่า แกรี่ ฟอสเตอร์ เพื่อก่อตั้ง Horseshoe Bay Productions บริษัทโปรดักชั่นเต็มรูปแบบที่เตรียมการสร้างและกำกับฯ ภาพยนตร์
จอห์นสันมีผลงานกำกับฯ ภาพยนตร์เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1998 กับ “Simon Birch,” ซึ่งเขายังได้เขียนสคริปท์โดยมีเค้าโครงเรื่องจากนิยายของจอห์น ไอวิ่ง A Prayer for Owen Meany
เบรนท์ โอ’ คอนเนอร์ (ผู้อำนวยการบริหาร) เป็นผู้อำนวยการบริหารให้กับเรื่อง “Scooby Doo 2: Monsters Unleashed” ผลงานร่วมอำนวยการสร้างของโอ’คอนเนอร์ ได้แก่ “Bulletproof Monk,” นำแสดงโดยโจวหยุนฟะ และฌอน วิลเลียม สก็อต และเรื่อง “K-19: The Widowmaker” นำแสดงโดยแฮริสัน ฟอร์ด และเลียม นีสัน
โอ’คอนเนอร์เป็นผู้จัดการฝ่ายโปรดักชั่นในภาพยนตร์ระทึกขวัญของอาร์โนลด์ ชวาสเนกเกอร์เรื่อง “The Sixth Day” ภาพยนตร์คอมเมดี้ครื้นเครงเรื่อง “Rat Race,” นำแสดงโดยคิวบา กู้ดดิ้ง จูเนียร์, วูปี้ โกลด์เบิร์ก, จอห์น คลีส และโรแวน แอทคินสัน, ภาพยนตร์ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองเรื่อง “Good Will Hunting,” นำแสดงโดยโรบิน วิลเลียมส์, เบน แอฟเฟล็ค และแมตต์ เดมอน และเรื่อง “Seven Years in Tibet” กับแบรต พิตต์ ผลงานเรื่องอื่นๆ ในตำแหน่งผู้จัดการโปรดักชั่น รวมทั้ง “Eye See You,” “Jumanji,” “Deep Rising,” “Disturbing Behavior” และ “Andre”
บิล โรว์ ASC (ผู้กำกับภาพ) ทำงานในตำแหน่งผู้กำกับภาพมาโดยตลอดกับซีรีส์โทรทัศน์เรื่องดังที่ออกอากาศอย่างยาวนานเรื่อง “The X-Files” โรว์เป็นผู้กำกับภาพยูนิตที่สองให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Seabiscuit” และ “Terminal Velocity” ซึ่งเขายังได้ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมกล้องอีกด้วย
ผลงานของโรว์ในฐานะผู้ควบคุมกล้อง ได้แก่ เรื่อง“Toys,” “Space Jam,” “Primal Fear,” “Indian in the Cupboard,” “Junior” และ “Dave”
แกรมม์ เมอร์เรย์ (ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์) เป็นผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ให้กับเรื่อง “Knight Moves,” “Never Cry Wolf,” “Malone” และ “My Five Wives”เมอร์เรย์เป็นผู้กำกับศิลป์ให้กับทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ในเรื่อง “The Boy Who Could Fly” และ “Look Who’s Talking” ผลงานในฐานะผู้กำกับศิลป์ในเรื่องอื่นๆ ได้แก่ “Iceman” และ “Ladies and Gentlemen, The Fabulous Stains”
เควิน สติตต์ A.C.E. (ผู้ลำดับภาพ) เคยทำงานกับผู้กำกับฯ จอห์น วู ในเรื่อง “Paycheck” สติตต์ตัดต่อภาพยนตร์เรื่อง “The Order” ให้กับทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ และเรื่อง “A Knight’s Tale” ให้กับโคลัมเบีย พิกเจอร์ส; ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องกำกับฯ โดยไบรอัน เฮลเกแลนด์ สติตต์ยังได้ร่วมงานกับภาพยนตร์เรื่อง “Payback”
สติตต์เป็นผู้ลำดับภาพร่วมในภาพยนตร์เรื่อง “X-Men,” “Deep Blue Sea,” “The Last Castle,” “Another Stakeout” และภาพยนตร์ของริชาร์ด ดอนเนอร์ “Conspiracy Theory” และ “Lethal Weapon 4”
เควิน เฟจ (ผู้อำนวยการสร้างร่วม) มีตำแหน่งเป็น Executive Vice President แห่ง Marvel Studios ล่าสุดเฟจเป็นผู้อำนวยการบริหารภาพยนตร์ชื่อก้อง “Spider-Man 2,” กำกับฯ โดยแซม ไรมี, นำแสดงโดยโทบี้ แมคไกวร์, เคอร์สเตน ดันท์ส, และอัลเฟรด โมลินา เฟจเป็นผู้อำนวยการบริหารเรื่อง “The Punisher” oแสดงโดย ทอม เจน และจอห์น ทราโวลต้า และในเรื่อง “The Hulk” กำกับฯ โดย อังลี
เขาร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องดัง “X2” กำกับฯ โดยไบรอัน ซิงเกอร์, นำแสดงโดยแพทริค สจ๊วต, ฮิว แจ็คแมน, เอียน แมคเคลเลน และฮัลลี เบอร์รี่ ก่อนหน้านั้นเขาร่วมอำนวยการสร้างหนังดังปี 2003 เรื่อง “Daredevil” นำแสดงโดยเบน แอฟเฟล็ค และเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์
เฟจมีตำแหน่งเป็น Executive in Charge of Production ของภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของปี 2002 เรื่อง “Spider-Man” กำกับฯ โดย แซม ไรมี นำแสดงโดยโทบี้ แมคไกวร์ เคอร์สเตน ดันท์ส, และวิลเลม เดโฟ
หลังจบการศึกษาจาก University of Southern California’s School of Cinema-Television, เฟจทำงานกับชูเลอร์ ดอนเนอร์ และริชาร์ด ดอนเนอร์ที่ Donners’ Company ซึ่งเป็นบริษัทที่มีฐานจากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส ที่นั่นเขาทำงานในภาพยนตร์เรื่อง “Volcano” นำแสดงโดยทอมมี่ ลี โจนส์ และหนังโรแมนติคคอมเมดี้เรื่องฮิต “You’ve Got Mail” กำกับฯ โดยนอร่า เอฟรอน นำแสดงโดยทอม แฮงค์ส และเมก ไรอัน จากนั้นเขาได้กลายเป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้างในหนังที่ยกเครื่องงานประเภทหนังสือการ์ตูน : “X-Men”
คริสโตเฟอร์ เบ็ค (ผู้ประพันธ์เพลงประกอบ) มีผลงานแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์มาหลายเรื่องในทุกรูปแบบ ตั้งแต่ภาพยนตร์คอมเมดี้วัยรุ่นคลาสสิคสมัยใหม่ เรื่อง “Bring It On” ไปถึง “Under the Tuscan Sun,” ภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายขายดีติดอันดับ
เบ็คเริ่มอาชีพแต่งเพลงของเขาในซีรีส์โทรทัศน์แคนาดา เรื่อง “White Fang” และจากนั้นมาได้แต่งเพลงประกอบให้กับซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง “Buffy the Vampire Slayer” ตั้งแต่ซีซันสองถึงสี่ เบ็คได้รับรางวัลเอ็มมี่สาขา Outstanding Music Composition จากผลงานของเขาใน “Buffy,” ซีซันที่สาม (1998) และหลังจากที่เสร็จจากการทำงานหนึ่งซีซันหรือมากกว่านั้น เขาได้ตัดสินใจเดินหน้าต่อไปในการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์
ผลงานในภาพยนตร์ของเบ็ค ได้แก่ “A Cinderella Story,” “Garfield,” “Cheaper by the Dozen,” “Just Married,” “Confidence,” “Without a Paddle” และเรื่อง “American Wedding”
2004 Twentieth Century Fox. All rights reserved. Property of Fox.
Permission is hereby granted to newspapers and periodicals to reproduce this
text in articles publicizing the distribution of the Motion Picture.
All other use is strictly prohibited, including sale, duplication, or other transfers of this material.
This press kit, in whole or in part, must not be leased, sold, or given away.--จบ--