กรุงเทพฯ--12 มิ.ย.--มีเดีย พลัส คอนเนคชั่น
-ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ปรับปรุงศูนย์ฯให้ทันสมัยครบวงจร เทียบชั้นศูนย์ชั้นนำสากล-
โรงพยาบาลพญาไท 2 เดินหน้าผลักดัน นโยบายความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์ (Centers of Excellence) ต่อเนื่อง ล่าสุดใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท พัฒนา ศูนย์หัวใจ ให้เป็นศูนย์กลางรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ทันสมัยครบวงจรแห่งหนึ่งของเอเชีย เพื่อรองรับผู้ป่วยโรคหัวใจในประเทศไทยและต่างประเทศ
นายแพทย์ ทวนทศพร สุวรรณจูฑะ ผู้อำนวยการศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลพญาไท 2 เปิดเผยว่า "โรงพยาบาลพญาไท 2 ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนผู้ป่วยโรคหัวใจในประเทศ85% และจากต่างประเทศอีก 15% โดยมีการรุกขยายตลาดในกลุ่มประเทศจีน กัมพูชา เมียนมาร์ เวียดนาม ลาว และ ตะวันออกกลาง โดยมุ่งไปที่กลุ่มตรวจสุขภาพ กลุ่มผู้ป่วยเข้ารับการรักษา ทั้งผู้ป่วยวิกฤติ การสวนหัวใจ ผ่าตัด และผู้ป่วยฟื้นฟูและควบคุมปัจจัยเสี่ยง"
ในการทำตลาดต่างประเทศนั้น โรงพยาบาลทำความเข้าใจในพฤติกรรมความต้องการของแต่ละชาติ เป้าหมาย มีบุคคลากรดูแลเฉพาะของแต่ละประเทศในการทำการตลาด มีการจัดโรดโชว์ ในแต่ละ ประเทศ ร่วมกับพันธมิตรเครือข่ายต่างๆ เช่น โรงพยาบาลเอกชนท้องถิ่น และบริษัทท่องเที่ยว ต่างๆ
"ด้านการบริการในโรงพยาบาล เรามีแผนกที่ช่วยประสานงานและแปล ที่เรียกว่าฝ่าย IRC (International Relations officer) โดยจะดูแลผู้ป่วยและญาติตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล โดยมีภาษามากกว่า 15 ภาษาให้บริการ"
"ในการพัฒนาศูนย์นั้น เราแบ่งงบประมาณเป็นการ ปรับปรุงสถานที่เน้นด้านความสะดวกสบาย ในการรับบริการของผู้ป่วย และการอบรมพัฒนาบุคลากร 42 ล้านบาท เครื่องมือแพทย์และเทคโนโลยี อีก 63 ล้านบาท" นายแพทย์ ทวนทศพร กล่าว
ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลพญาไท 2 ได้รับการรับรองแบบเจาะลึกรายโรค CCPC การดูแลผู้ป่วย กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ให้บริการด้านการรักษาพยาบาล และดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ อายุรกรรม และศัลยกรรม ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีทีมแพทย์อายุรกรรมหัวใจ และศัลยแพทย์หัวใจ ประจำตลอด 24 ชั่วโมง มีอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาที่ทันสมัย เช่น มีห้องปฏิบัติการผ่าตัดหัวใจ มีห้องผ่าตัดแบบ Hybrid Operating Room ซึ่งสามารถให้บริการ สวนหัวใจและผ่าตัดแบบเปิดในห้องเดียวกันได้
ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วย พร้อมทีมแพทย์สวนหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง ที่จะช่วยให้การผ่าตัดหัวใจมีความปลอดภัยสูงสุด
"ด้วยนโยบายผลักดันจากภาครัฐ ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านการแพทย์ (Medical Hub) แห่งเอเชียที่มีมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และด้วยความพร้อมของศูนย์หัวใจ จึงเป็นโอกาส สำคัญที่โรงพยาบาลพญาไท 2 จะเดินหน้าพัฒนาและผลักดันศูนย์หัวใจให้เป็นศูนย์กลางการดูแล รักษาโรคหัวใจแห่งภูมิภาคเอเชีย"
ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในเป้าหมายที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในแถบ ภูมิภาคเอเชีย โดยเฉลี่ยแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยไม่น้อยกว่า 30 ล้านคน ขณะที่ จำนวนตัวเลขการท่องเที่ยวในเชิงการแพทย์ในไทยก็มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามอัตรา การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของประเทศไทย ติดอันดับ 6 ของโลก และมีนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ มากที่สุดถึงประมาณ 38% ของภูมิภาคเอเชีย ทั้งหมด
ไทยมีความได้เปรียบและจุดแข็งหลายอย่างเช่น การเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ความเข้มแข็งทางด้านธุรกิจการให้บริการ และนโยบายการขับเคลื่อนของหน่วย งานภาครัฐบาล ที่สนับสนุนให้กลุ่มบริการทางการแพทย์เป็นกลุ่มที่สำคัญ ล่าสุด รัฐบาลมีนโยบาย Thailand 4.0 และนโยบาย S-Curve ที่ผนวกกลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ เข้ามาเป็น อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สอดคล้องกับทิศทางการบริหาร และแนวทางการให้บริการทางด้านการแพทย์
"นอกจากนี้เรายังใช้กลยุทธ์เข้าถึงผู้ป่วยและญาติด้วยแนวทางการบริการดูแลรักษา "ดูแลที่หัวใจ" ที่นอกเหนือจากความเชี่ยวชาญ คือ ใช้ใจในการดูแลที่หัวใจของผู้ป่วยและญาติ ด้วย 1) การดูแล ที่ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ให้ข้อมูลการรักษาครบถ้วน ผู้ป่วยและญาติมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หาแนวทางการรักษา 2) โฮมมี่ แคร์ (Homey Care) ดูแลผู้ป่วย และญาติด้วยความเข้าใจ อบอุ่น เหมือนคนในครอบครัว" นายแพทย์ ทวนทศพร เสริม
รศ.นพ. กิตติชัย เหลืองทวีบุญ ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยศาสตร์หลอดเลือดและทรวงอก โรงพยาบาลพญาไท 2 กล่าวถึงสถานการณ์โรคหัวใจในปัจจุบันว่า สถิติการเสียด้วยชีวิตโรคหัวใจ และหลอดเลือดของคนไทยในปัจจุบันเฉลี่ยที่ 150 คนต่อวัน หรือปีละ 54,530 คน สถิติผู้เสียชีวิต ทั่วโลกอยู่ที่ 17.7 ล้านคนต่อปี และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับแรก ๆ ของคนไทย รองจากมะเร็ง และอุบัติเหตุ
สาเหตุของโรคหัวใจที่คนไทยเป็นมากที่สุด คือ หลอดเลือดหัวใจตีบ โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงโรคหัวใจมักหมายถึงโรคนี้ เกิดจากการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดหัวใจ และการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน หลอดเลือด
หัวใจเฉียบพลัน ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย จึงทำให้มีอัตราเสียชีวิตสูง และต้องการ การรักษาอย่างเร่งด่วนเฉียบพลัน
"โรคหลอดเลือดหัวใจตีบนี้ มักไม่แสดงอาการเมื่อเริ่มเป็นโรค หรือเมื่อหลอดเลือดยังตีบไม่มาก ฉะนั้นวิธีป้องกันและดูแลหัวใจที่ดีที่สุดคือ ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยการออกกำลังกายตามสุขภาพ จำกัดอาหารไขมัน กินอาหารมีประโยชน์ ควบคุมน้ำหนัก ควบคุมโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน และควรตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ สามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี ขึ้นไป"
ในขณะเดียวกัน โรคลิ้นหัวใจเออร์ติกส์ตีบ เป็นโรคทางหัวใจที่ทำให้ลิ้นหัวใจเออร์ติกเปิดได้ไม่เต็มที่ ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อให้สูบฉีดเลือดออกไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้เท่าเดิม อาจเกิดภาวะ หัวใจล้มเหลวและอาจเสียชีวิตตามมาได้หากไม่ได้รับการรักษา
"ปัจจุบันช่วงอายุของผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจตีบที่พบอยู่ในช่วงวัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ เนื่องจากมาจาก พฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งเรื่องของอาหาร อารมณ์ ความเครียด ในขณะเดียวกัน คนไข้อายุมากมักมีโรคร่วมต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ไตวาย อัมพาต เบาหวานทำให้ความยุ่งยาก ในการรักษาโรคหัวใจมากขึ้น และอันตรายจากโรคนี้ก็สูงขึ้นด้วย"
"การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมทางสายสวน หรือ TAVI เป็นนวัตกรรมทางเลือกนอกเหนือจากการผ่าตัดเปิดช่องอก ใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะการตีบรุนแรงของลิ้นหัวใจเออร์ติกส์ส่วนใหญ่การตีบมักเกิด จากความเสื่อม ของลิ้นหัวใจที่มักเกิดในผู้ป่วยสูงอายุ หรือมีโรคอื่น ๆ ร่วมด้วยหลายโรค ทำให้สภาพ ร่างกายไม่สามารถทนต่อการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องดมยาสลบ และการใช้เครื่องปอดและ หัวใจเทียมระหว่าง ผ่าตัดได้ วิธีการนี้จะช่วยต่อชีวิตผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ให้ยืนยาว และมีคุณภาพ ชีวิตที่ดีขึ้น" รศ.นพ. กิตติชัยกล่าวเสริม
ปัจจุบันศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลพญาไท 2 รองรับผู้ป่วยนอก 150 คนต่อวัน ผู้ป่วยใน ผู้ป่วยผ่าตัด และผู้ป่วยฟื้นฟูและควบคุมปัจจัยเสี่ยง 30 คนต่อวัน รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,000 รายต่อเดือน