กรุงเทพฯ--14 มิ.ย.--บลจ.กสิกรไทย
นายนาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย มีกำหนดจ่ายเงินปันผลกองทุนต่างประเทศ จำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A ชนิดจ่ายเงินปันผล (K-USXNDQ-A(D)) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2561 - 31 พฤษภาคม 2561 และกองทุนเปิดเค ไชน่าหุ้นทุน (K-CHINA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่ 1 กันยายน 2560 - 31 พฤษภาคม 2561 โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 31 พฤษภาคม 2561 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมกันใน 14 มิถุนายน 2561 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 171 ล้านบาท
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานของกองทุน K-USXNDQ-A(D) ในช่วง 3 เดือนย้อนหลังกองทุนให้ผลอบแทนอยู่ที่ 1.62% ใกล้เคียงกับเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 2.02% และในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 18.26% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 18.12% (ข้อมูล ณ 31 พ.ค. 61) ซึ่งผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมทั้งในระยะสั้น และระยะยาวให้ผลตอบแทนที่ดีโดดเด่นใกล้เคียงกับเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากกองทุนหลักใช้กลยุทธ์การบริหารเชิงรับ (passive) ที่มุ่งหวังให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี NASDAQ-100 ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิง ส่วนด้านมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ บลจ.กสิกรไทยมองว่าระดับราคาหุ้นสหรัฐฯถือว่าค่อนข้างแพงและซื้อขายอยู่ในระดับที่ใกล้เต็มมูลค่า ขณะที่หุ้นในกลุ่มไอที ซึ่งเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ที่กองทุนลงทุน มีการเติบโตสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในภาพรวม จึงคาดว่าในระยะสั้นอาจมีความผันผวนตามตลาดหุ้นสหรัฐฯในภาพรวมเช่นกัน ทั้งนี้ผลประชุมของเฟดล่าสุดเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 25 bps ขึ้นมาอยู่ที่ 1.75-2.00% เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในภาพรวมยังเติบโตต่อเนื่อง โดยตลาดแรงงานเติบโตแข็งแกร่ง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกำลังขยับเข้าใกล้เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องติดตามคือ การดำเนินนโยบายทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจีนที่มีท่าทีตอบโต้นโยบายดังกล่าวของสหรัฐฯ
ด้านผลการดำเนินงานกองทุน K-CHINA ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือน กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 5.48% ใกล้เคียงกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 5.42% และในช่วง 1 ปีให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 21.88% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 26.84% (ข้อมูล ณ 31 พ.ค. 61) ทั้งนี้บลจ.กสิกรไทยยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน โดยมีปัจจัยบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่ยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ขยายตัวจากนโยบายเส้นทางสายไหม One Belt, One Road ของภาครัฐ ขณะที่แผนการปฏิรูปประเทศยังเป็นไปตามคาด และสภาพคล่องในระบบที่มีสูงจากการอัดฉีดเงินของรัฐบาลเข้าสู่ระบบผ่านการลดสัดส่วนการกันสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นจากอุปสงค์โลกที่ฟื้นตัวชัดเจน นอกจากนี้ปัจจัยบวกจากการที่ MSCI ได้รวมหุ้นจีน A share เข้าไปคำนวณในดัชนีตลาดเกิดใหม่และคาดว่าจะมีเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาด A-Share มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อาจดึงดูดเงินทุนถึงราว 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนในช่วง 10 ปีข้างหน้า
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจกระจายการลงทุนไปยังหุ้นต่างประเทศ หรือต้องการปรับพอร์ตให้สอดรับกับสภาวะตลาดในปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย แนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นจีน เนื่องจากระดับราคาหุ้นที่ซื้อขายในระดับถูกกว่าประเทศอื่นในเอเชียและภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะหุ้น H share ที่น่าสนใจกว่าหุ้น A Share เนื่องจากซื้อขายในราคา discount จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนที่พร้อมลงทุนในระยะยาว อย่างไรก็ตามมีปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯและการโต้ตอบจากจีนที่จะต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจกองทุน K-USXNDQ-A(D) และกองทุน K-CHINA สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือติดต่อ KAsset Contact Center 02673 3888
กองทุน รอบผลการดำเนินงาน อัตราเงินปันผล (บาท/หน่วย)
K-USXNDQ-A(D) 1 มีนาคม 2561 - 31 พฤษภาคม 2561 0.20
K-CHINA 1 กันยายน 2560 - 31 พฤษภาคม 2561 0.20
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนได้ที่ www.kasikornasset.com หรือ บลจ.กสิกรไทย หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายหน่วยลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนจึงอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้