กรุงเทพฯ--14 มิ.ย.--ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
ทิศทางของประเทศไทยกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ดูเหมือนจะสับสนอลหม่านพอควร โดยเฉพาะกับพวกเราในฐานะประชาชนคนไทยที่เฝ้าดูและปฏิบัติตาม เพราะหลายๆ โครงการ หลายๆ นโยบายที่รัฐบาลอนุมัติออกมานั้น ดูจะตรงข้ามกับความรู้สึกของประชาชนเสียเป็นส่วนใหญ่ จนจะกลายเป็นนโยบายไทยแลนด์ 0.4 ทำให้ประเทศไทยยังล้าหลังเสียมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการอนุญาตให้มีการนำเข้ายาฆ่าหญ้าที่ชื่อว่า "พาราควอต" ต่อไปได้อีก ซึ่งยาฆ่าหญ้า "พาราควอต" นี้ค่อนข้างอันตราย มีพิษเฉียบพลันสูงต่อมนุษย์ และมีผลกระทบเรื้อรังต่อสุขภาพ เช่น ก่อโรคพาร์กินสัน สมองเสื่อม แม้จะใส่อุปกรณ์ป้องกันแต่ก็สามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ โดยการสัมผัสทางผิวหนัง แล้วซึมเข้าร่างกายจนเกิดอันตรายถึงชีวิต ทั้งยังตกค้างในอาหาร สิ่งแวดล้อม และมนุษย์ ถ้าสัมผัสเผลอกลืนกินเข้าไป ก็ไม่สามารถล้างท้องได้ จึงเป็นที่มาของแรงกระเพื่อมผลักดันให้มีการยกเลิกการนำเข้าและใช้สาร "พาราควอต"
เป็นที่รู้กันดีในแวดวงการเกษตรว่า สารพิษจากยาฆ่าหญ้าที่มีการใช้ต่อเนื่องกันมายาวนานหลายสิบปี จะมีการสะสมตกค้างมหาศาลในน้ำในดินจนอิ่มตัว เอิบอาบซาบซ่านเข้าไปสะสมอยู่ในพืชผักผลไม้ จนเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคทั้งเด็กผู้ใหญ่ และทารกที่อยู่ในครรภ์ที่รับสารอาหารโดยตรงจากมารดา เนื่องด้วยมารดายุคปัจจุบันรับประทานอาหารที่มีการสะสมสารพิษจากยาฆ่าหญ้าที่ตกค้างอย่างมากมาย โดยมีงานวิจัยรองรับตามข้อมูลดังกล่าวจากหน่วยงานและสื่อต่างๆ
ถ้าวิเคราะห์ในแง่เศรษฐกิจเกี่ยวกับต้นทุนการเกษตรที่ต้องใช้ "แรงงานคน" ในกำจัดหญ้าเทียบกับการใช้ "ยาฆ่าหญ้า" ก็อาจจะมีความคุ้มค่าอยู่บ้าง เพราะการใช้ยาฆ่าหญ้ามีต้นทุนที่ต่ำกว่า ราคาถูก แถมมีประสิทธิภาพในกำจัดวัชพืชได้มากกว่าแรงงานคน ซึ่งอันนี้ก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่เกษตรกรส่วนใหญ่ได้เสนอแนะให้แง่คิดไว้ โดยที่รัฐบาลยังไม่สามารถหาสิ่งปลอดภัยกว่ามาทดแทนได้ แต่ถ้ามองในแง่ของสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยเฉพาะภาพใหญ่ในระดับประเทศก็น่าเป็นห่วงอยู่ เพราะคนที่รับพิษจาก พาราควอต หากถูกหรือสัมผัสร่างกายโดยตรงในปริมาณเข้มข้น จะเกิดการกัดกร่อนรุนแรงผิวหนังไหม้ หากเข้าสู่ร่างกายโดยเฉพาะการกินโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม อัตราเสียชีวิตจะสูงมาก เพราะพาราควอตมีความเป็นพิษสูงมาก ขนาดยาแค่ฝาขวดน้ำดื่มก็ถึงตายได้ ฤทธิ์เริ่มแรกก็การกัดกร่อนเผาเนื้อเยื่อบุปาก ลำคอ กระเพาะอาหารอาจถึงกับกระเพาะทะลุเสียชีวิตได้ ระยะต่อมาตับวายสารเคมีส่วนมากจะผ่านตับทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อเยือตับโดยตรงถ้าตับวายก็ตาย ระยะต่อมาเมื่อตัว พาราควอต ผ่านระบบเมตาบอลิกในตับจะผ่านสู่ไต ก็ทำให้ไตวายเฉียบพลัน ถ้าฟอกไตทันอาจจะรอด แต่ก็ต้องฟอกไตตลอดชีวิต ไม่ก็รอบริจาคไตมาเปลี่ยน ระยะสุดท้าย ถ้าสามารถรอดพ้นระยะทั้งหมดเบี้องต้นผ่านไป 1 -2 สัปดาห์ก็มักจะจบด้วยสภาวะปอดเป็นพังผืดและมักจบด้วยการเสียชีวิต
โดยปรกติประเทศไทยเกษตรกรส่วนใหญ่ได้รับความเสียหาย เจ็บป่วยจากสารพิษภาคการเกษตรชนิดอื่นๆ มากพอควรอยู่แล้ว "ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข" มีการตรวจพบเกษตรกรไทยร้อยละ 32 ที่มีความเสี่ยงและไม่ปลอดภัยจากการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และมีผู้ป่วยจากพิษสารกำจัดศัตรูพืชเพิ่มถึง 4 เท่าตัว ทั้งพิษเฉียบพลันและระยะยาว เช่น แสบตา คลื่นไส้ หายใจขัด เป็นมะเร็ง อาจรุนแรงถึงขั้นเป็นหมันหรือเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ผู้สามารถไปสืบค้นเพิ่มเติมได้จากหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุข
การที่จะให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งเทคโนโลยี นวัตกรรม ก้าวล้ำด้วยระบบโลจิสติกส์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่รัฐบาลยังปล่อยให้ข้าวปลาอาหารของประเทศไทยซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ประเทศที่โดดเด่นและชำนาญเรื่องเกษตรกรรมมาอย่างยาวนาน เคยส่งออกข้าว ปาล์ม ยางพาราและมันสำปะหลัง เป็นอันดับต้นๆของโลก และล่าสุดยังขายทุเรียนได้ 80,000 ลูกภายใน 1 นาที แต่กลับจะปล่อยให้มีสารพิษที่ทั่วโลกเขาเลิกใช้กันแล้ว มาทำลายสุขภาพเกษตรกรและปนปื้อนอยู่ในอาหารการกิน ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อย่างนี้แล้ว...จุดขายและศักดิ์ศรีของบ้านเมืองเราจะมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และรุ่งโรจน์ โชติช่วงชัชวาลได้อย่างไร ถ้าความปลอดภัยในอาหารยังไม่มี?!?
สนับสนุนบทความโดย
นายมนตรี บุญจรัส กรรมการผู้จัดการบริษัท นายมนตรี บุญจรัส จำกัด (ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ)
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยหรือต้องการคำปรึกษา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02 986 1680 – 2