กรุงเทพฯ--15 มิ.ย.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทิจีส์
นายอรรถ เหมวิจิตรพันธ์ รองประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด แสดงวิสัยทัศน์บนเวที สัมมนา Thailand SDGs Forum 2018: Localizing the SDGs (Thailand's Sustainable Business Guide) ที่จัดโดย สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า และ มูลนิธิมั่นพัฒนา
บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ร่วมแสดงวิสัยทัศน์บนเวที สัมมนา Thailand SDGs Forum 2018: Localizing the SDGs (Thailand's Sustainable Business Guide) ที่จัดโดย สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า และ มูลนิธิมั่นพัฒนา เพื่อแลกเปลี่ยนเทรนด์ด้านความยั่งยืนประจำปี 2561 พร้อมทั้งถ่ายทอดตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในการนำนโยบายของบริษัทแม่ตามกรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติมาปรับใช้เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย และได้ตอกย้ำความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่คำนึงถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรม การร่วมมือกับพันธมิตร พร้อมกับการพัฒนาบุคลากรทั้งในและนอกองค์กรอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด "Believe-Become-Belong"
ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการนำ "เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน" (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยองค์การสหประชาชาติ มาเป็นประเด็นหลักในการเสวนา ประกอบไปด้วย 17 เป้าหมาย (Goals) เพื่อใช้เป็นแผนที่นำทางสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในอีก 15 ปีข้างหน้า ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้นั้น จำเป็นจะต้องสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นทั้ง มิติด้านเศรษฐกิจ มิติด้านสังคม และ มิติด้านสิ่งแวดล้อม
นายอรรถ เหมวิจิตรพันธ์ รองประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า "การเป็นพันธมิตรกับภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและสร้างการมีส่วนร่วมและความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ มีเหตุมีผลและมีภูมิคุ้มกันรอบด้านนั้นถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจ นอกจากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เชลล์ให้ความสำคัญแล้ว ภายในปี 2050 เชลล์ยังได้ให้การยืนยันในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง สมัยที่ 21 หรือ COP21 ว่าจะต้องลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศให้ได้อย่างน้อย 50% อีกด้วย ปัจจุบันเชลล์ยังมุ่งหานวัตกรรมพลังงานที่สะอาดและเพียงพอต่อความต้องการภายในอนาคตอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยสร้างเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างสรรค์กระบวนการผลิต ตลอดจนส่งมอบสินค้าและบริการที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน"
เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ในปี 2561 เชลล์ ประเทศไทย มุ่งดำเนินงานด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านแนวคิด "Believe-Become-Belong" โดย "Believe" เป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจเกี่ยวกับการตอบสนองความท้าทายต่างๆ ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน โดยคำนึงถึงความต้องการใช้งานพลังงานที่มากขึ้นและสะอาดขึ้น ในขณะที่ตอบโจทย์ทุกภาคส่วนเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนร่วมกัน "Become" คือการดำเนินงานที่มุ่งเน้นเป้าหมายด้านความยั่งยืน 6 ประการตามกรอบ UN Sustainable Development Goals (UNSDGs) ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ โดยเฉพาะภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม ในการกำหนดทิศทางอนาคตพลังงานของประเทศไทย และ "Belong" สร้างการมีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้นเป้าหมาย สร้างให้พนักงานทุกคนเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความเติบโตก้าวหน้าของประเทศชาติ และทำให้ลูกค้า คู่ค้า มีความสุขอย่างยั่งยืน
เชลล์มีความคิดริเริ่มสำคัญอย่าง Make the Future ที่รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนร่วมกันการวางแผนพลังงานแห่งอนาคตผ่านกิจกรรมต่างๆ หนึ่งในนั้นคือการแข่งขัน เชลล์ อีโค-มาราธอน ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษามาช่วยกันคิดค้นรถยนต์ประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเชลล์ยังดำเนินการทางด้านพลังงานทดแทน พลังงานชีวมวล ก๊าซธรรมชาติ ผ่านการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังงานที่เพียงพอและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม
"เชลล์เชื่อในแนวคิด "Grow in Thailand for Thailand" หากสังคมอยู่ได้ เราก็อยู่ได้ เราเน้นดำเนินการที่สร้างความสำเร็จจากภายในบริษัท เชลล์ต้องรู้จริงรู้ลึก เป็นเหตุเป็นผล ทำให้ภารกิจของบริษัทสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ในขณะที่สามารถขยายผลไปยังทุกภาคส่วนที่อยู่ในห่วงโซ่แห่งคุณค่า ท้ายสุดแล้ว เชลล์มั่นใจว่าการดำเนินงานนี้จะขยายเป็นวงกว้าง สร้างสังคมแห่งการมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตด้านพลังงานที่ยั่งยืนซึ่งจะทำให้ความสำเร็จนั้นเป็นของบริษัทและของสังคมไทยที่เชลล์วางรากฐานและดำเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน" นายอรรถ เหมวิจิตรพันธ์ กล่าวสรุป