กรุงเทพฯ--15 มิ.ย.--
จัดว่าเป็นคุณแม่ลูกหนึ่งที่นอกจากจะสะกดความสวยได้อยู่หมัด ยังเป็นนักบริหาร นักธุรกิจ นักลงทุน และนักมาร์เก็ตติ้ง ที่หาตัวจับยากอีกเช่นกัน สำหรับ "หมอเกรซ – พญ. เสาวภาคย์ พงศ์ศศิธร" เจ้าของ Doctor Grace Clinic (Diploma in Dermatology, Cardiff University, UK., Fellowship in Cosmetic Dermatology, Mount Sinai Hospital, USA.) แพทย์ที่ปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรมวันนี้กับช่วงเบรคงานด้านต่างๆ "หมอเกรซ" ให้เกียรติร่วมพูดคุยถึงหลักการบริหารงาน รวมถึงอัพเดทเทคโนโลยีนวัตกรรมความงามล่าสุด พร้อมเปิดเผยถึงเคล็ดลับการดูแลครอบครัวให้อบอุ่น
"สำหรับเทรนด์ความงามที่ผ่านมาและปีนี้ ยังคงหนีไม่พ้นกับการที่สาวๆ อยากมีใบหน้ารูปไข่ดูเป็นวีเชฟ และมีหุ่นที่ดี แต่ในความเป็นจริงพื้นฐานรูปหน้าของคนเราไม่เหมือนกัน เดี๋ยวนี้มีหลากหลายวิธีในการปรับเปลี่ยนรูปหน้า ไม่ว่าจะเป็นการทำศัลยกรรมผ่าตัด หรือวิธีการปกปิดด้วยเทคนิคอื่นๆ ที่ผ่านมาเราอยู่ในวงการความงามมาตลอด มีหลายเคสที่เข้ามาขอคำปรึกษา อยากสวยแต่กลัวการทำศัลยกรรม ซึ่งหมอจะแนะนำให้กลบจุดด้อยและเสริมด้วยจุดเด่น เพื่อเสริมความงามให้สวยในแบบฉบับของเรา ซึ่งหมอมองว่าความสวยไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น หลายครั้งที่เราอยากได้ใบหน้า จมูก ตา แบบคนอื่น แต่พอมาประกอบกันอาจไม่เข้ากับใบหน้าของเราและเมื่อทำไปอาจทำให้เราดูแปลก ที่ผ่านมาการศัลยกรรมทำให้เกิดปัญหาใบหน้าสวยเหมือนเป็นบล็อกเดียวกันหมด เหตุการณ์นี้หมอไม่อยากให้เกิดขึ้นเพราะสุดท้ายเราก็จะไม่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง"
'หมอเกรซ' กล่าวเสริมอีกว่า ปัจจุบันในด้านเทคโนโลยีได้มีการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เข้ามาช่วย ในส่วนของหมอจะเป็นเรื่องการปรับรูปหน้าแบบไม่พึ่งศัลยกรรม หมอจะทำการดีไซน์รูปหน้าให้กับคนไข้ โดยจะให้คนไข้นั่งตัวตรง หลังไม่พิง แล้วดูกระจกว่าตัวเองบกพร่องตรงจุดไหนบ้าง และจะทำอะไรได้แค่ไหน ซึ่งเราสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับรูปหน้า อายุ และปัญหาของแต่ละคน เช่น ช่วงกรามใหญ่แก้ปัญหาโดยการฉีดโบทูลีนั่มท็อกซินช่วยลดกราม ร้อยไหมช่วยกระชับใบหน้าส่วนที่หย่อนคล้อย หากมีแก้มเยอะใช้เทคนิคเมโสแฟตช่วยสลายไขมันเฉพาะจุด ฟิลเลอร์ช่วยสร้างมิติให้ใบหน้าบริเวณจมูกและคาง ช่วยหลอกตาให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น เป็นต้น
สำหรับเทคโนโลยีล่าสุด 'หมอเกรซ' เปิดเผยให้ฟังว่า ตอนนี้หมอมี ULTRAFORMER III คือเทคโนโลยีกระชับผิวหน้าและสลายไขมันใต้ชั้นผิว ที่สามารถผลิตคลื่นเสียงความถี่สูง ที่มีความเข้มข้นสูงและเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) ที่เรียกว่า MMFU: Micro & Macro Focused Ultrasound (เอ็มเอ็มเอฟยู: ไมโครแอนด์แมคโครโฟกัสอัลตร้าซาวน์) สามารถปล่อยพลังงานไปยังตำแหน่งความลึกที่ต้องการได้อย่างจำเพาะเจาะจง (Selective delivery of acoustic energy depth) สามารถลงลึกได้ทุกระดับใต้ชั้นผิว ทำให้ Ultraformer III เป็นเครื่องมือแพทย์ที่นำมาใช้ในการยกกระชับผิว (Tissue lifting) ลดริ้วรอย และสลายไขมันกระชับสัดส่วนของร่างกายได้ในเครื่องเดียว ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการแพทย์ผิวหนัง เพื่อใช้ในการยกกระชับผิวหย่อนคล้อยให้ตึงขึ้นและมีความปลอดภัยสูงเป็นที่ยอมรับถึงประสิทธิภาพในการรักษาเป็นอย่างมาก โดยใช้เวลาในการรักษาประมาณ 15-30 นาที และไม่ทำให้เกิดบาดแผล หลังการทำสามารถแต่งหน้าได้ปกติโดยไม่ต้องพักฟื้น ยิ่งไปกว่านั้น Ultraformer III เป็นที่ยอมรับกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ผ่านการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยจาก องค์การอาหารและยาของ ประเทศยุโรป (European CE) ประเทศออสเตรเรีย (Australian TGA) ประเทศใต้หวัน (Taiwan FDA) ประเทศญี่ปุ่น (Japan FDA) ประเทศเกาหลี (Korea FDA) และ ประเทศไทย เป็นต้น
ดังนั้น MMFU จึงเป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เหมาะกับผู้มีปัญหาผิวหนังใบหน้าและลำคอหย่อนคล้อย คิ้วตก, หนังตาตก, ขอบตาล่างหย่อนยาน, แก้มหย่อนคล้อย, ร่องแก้มลึก, มุมปากตก, มีเนื้อใต้คางเป็นชั้นๆ และยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น V Shape โดยที่ไม่ต้องการและไม่คิดจะทำศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับสัดสวนในบริเวณหน้าท้อง, ต้นแขน, ท้องแขน, ต้นขา, บริเวณ Bra Line, Love Handle, ผิวส่วนเกินบริเวณรอบหัวเข่า เป็นต้น
"นอกจากการรักษาด้วยเครื่องแล้ว ยังมีอีกหลากหลายวิธีในการดูแล และปัจจุบันมีคลินิคเกิดขึ้นมากมาย หมอแนะนำว่าควรพิจารณาหาข้อมูลก่อนทำการรักษา คลินิคที่ดีควรมีใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข แพทย์ต้องมีรูปและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพชัดเจน ที่สำคัญไม่อยากให้พิจารณารักษาด้วยราคา เพราะแต่ละคลินิคมีต้นทุนยาไม่ต่างกันมากนัก หากราคาถูกอย่างน่าตกใจตัวยาอาจไม่ได้มาตรฐานก็เป็นได้ เพื่อความปลอดภัยควรหาข้อมูลให้ชัดเจนก่อนดีที่สุดค่ะ" หมอเกรซ กล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเปิดเผยถึงผลประกอบการที่ผ่านมาว่า ปี 60 ถือว่าดี แต่สำหรับปี 61 ในช่วงครั้งปีแรกนี้ ถือว่าดร๊อปลงไปบ้าง ดังนั้นแพลนการทำมาร์เก็ตติ้ง เน้นทำ Information บวกกับเน้นเซเลบควบคู่กันไป เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้มากขึ้นไปอีก ในเรื่องของตัวเลขผลกำไรสุทธิ 'หมอเกรซ' บอกว่า จำไม่ได้แน่ชัด แต่ทุกปี ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจแน่นอน
ด้านเคล็ดลับการดูแลครอบครัว 'หมอเกรซ' กล่าวว่า พยายามจัดสรรเวลาเพื่อดูแล และอยู่กับลูกให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันลูกอายุได้ 4 ปีแล้ว โดยตั้งแต่ที่รู่ว่าตั้งท้อง ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า จะเลี้ยงลูกเอง ไปรับไปส่งลูกเอง รวมถึงสอนการบ้านลูกเองด้วย
สำหรับตารางการทำงานของ 'หมอเกรซ' ตรวจคนไข้อาทิตย์ละ 3 วัน คือ พฤหัสบดี – ศุกร์ – เสาร์ ส่วนวันอาทิตย์เป็นวันของครอบครัว จะไม่มีการพูดถึงเรื่องธุรกิจหรืองานแต่อย่างใด ให้เวลากับลูกและสามีอย่างเต็มที่ส่วน วันจันทร์เป็นวันสำหรับจัดการเรื่องเอกสารหรือเซ็นต์เอกสารทั้งหมด วันอังคารและวันพุธ เป็นวันสำหรับนัดคุยงานที่ไม่ซีเรียสอะไรมาก
"การดูแลลูกของหมอคือ อย่างแรก ต้องไปรับลูกจากโรงเรียน จากนั้นก็สอนการบ้านลูก หมอไม่อยากให้ลูกไปเรียนพิเศษ เพราะมีความรู้สึกว่าไม่มีใครใจเย็นหรือสอนลูกเราได้ดีเท่ากับคนเป็นแม่หรอก ดังนั้นอยากสอนอะไร หรืออยากเสริม เพิ่มเติมเรื่องอะไร ก็ทำได้เต็มที่ ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อ ว่าลูกจะได้เลื่อนห้อง ไปอยู่ห้องที่เก่งขึ้นได้" หมอเกรซ กล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ
สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Doctorgrace Clinic รามคำแหง 65 โทร.092-278-9841 หรือ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/doctorgraceclinic/หรือwww.doctorgraceclinic.co.th