กรุงเทพฯ--18 มิ.ย.--ไทยยามาฮ่ามอเตอร์
บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าและสินค้ายามาฮ่า เดินหน้ารุกตลาดรถกอล์ฟเต็มสูบ ภายใต้สโลแกน "Drive to be No.1" ชูจุดแข็งด้านมาตรฐานการผลิตของโรงงานในเมืองไทยและคุณภาพบริการหลังการขาย ตั้งเป้าเติบโต 15 - 20% ภายใน 3 ปี พร้อมทะยานขึ้นเบอร์หนึ่งในไทยและส่งออกสู่ตลาดโลกกว่า 12 ประเทศ
บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดตัวธุรกิจรถกอล์ฟด้วยการผลิตและจัดจำหน่าย ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ปลายปี 2558 โดยวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับ พรีเมี่ยม จนถึงปัจจุบัน รถกอล์ฟ ยามาฮ่า วายดีอาร์ ครูซ (Yamaha YDR Cruise) ได้ถูกผลิตในเมืองไทยเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศแล้วไม่ต่ำกว่า 4,000 คัน โดย รถกอล์ฟ ยามาฮ่า วายดีอาร์ ครูซ มีต้นแบบมาจากรถกอล์ฟ ยามาฮ่า ไดรฟ์ (Yamaha Drive) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้รับสิทธิบัตรส่งเสริมการลงทุน BOI จากทางรัฐบาล จนเป็นที่ยอมรับและอยู่ภายใต้มาตรฐานการผลิต (Quality Management Control) ที่เข้มงวดจากประเทศญี่ปุ่น เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้แบรนด์ยามาฮ่าทั่วโลก
รถกอล์ฟ ยามาฮ่า วายดีอาร์ ครูซ จากโรงงานไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ถูกส่งออกไปกว่า 10 ประเทศทั่วโลก อาทิ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, สิงค์โปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, เมียนมาร์, อินเดีย, ปากีสถาน และมัลดีฟส์ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ยามาฮ่า ยังเตรียมขยายตลาดไปอีก 2 ประเทศในอาเซียนอย่างลาวและกัมพูชาในปีนี้และปีถัดไป เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของตลาดรถกอล์ฟอีกด้วย
นางสาวจินตนา อุดมทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า "ปัจจุบันความต้องการเปลี่ยนรถกอล์ฟใหม่ เพื่อใช้งานในสนามกอล์ฟทั่วประเทศไทย มีอยู่ ราว 4,000 คันต่อปี คิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 760 ล้านบาทต่อปี ซึ่งในตลาดมีแบรนด์หลักๆ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ไม่กี่แบรนด์ ประกอบกับธุรกิจรถกอล์ฟสามารถอำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น เห็นได้ว่าในปัจจุบันรถกอล์ฟไม่ได้ถูกใช้งานแค่ในสนามกอล์ฟเท่านั้น แต่กลับมีความต้องการนำมาใช้ในธุรกิจประเภทอื่นๆ อาทิ ธุรกิจการท่องเที่ยว, โรงแรม, รีสอร์ทและธุรกิจด้านบริการต่างๆ นอกจากนี้ยังขยายมาถึงภาคธุรกิจอุตสาหกรรม, นิคมโรงงาน อสังหาริมทรัพย์และภาคธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสทีดีที่ธุรกิจรถกอล์ฟ จะสามารถขยายฐานตลาดให้กว้างขวางมากขึ้น"
"ในปัจจุบันตลาดรถกอล์ฟเป็นที่ต้องการจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีหลากหลาย แบรนด์ที่ได้เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย อีกทั้งยังมีการนำเข้ารถกอล์ฟที่ประกอบในประเทศจีน เพื่อลดต้นทุนและสร้างความได้เปรียบทางการค้า เพื่อจัดจำหน่ายในประเทศไทย แต่รถกอล์ฟภายใต้แบรนด์ยามาฮ่า นั้นเป็นที่รู้จักและยอมรับจากทั่วโลกในผลิตภัณฑ์หลายๆ ด้าน เราจึงมั่นใจในเรื่องคุณภาพและการบริการหลังการขาย ซึ่งถือเป็นจุดแข็งและข้อได้เปรียบทางการค้า นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นในการออกแบบที่สวยงาม โดดเด่น ระบบช่วงล่างที่แข็งแกร่ง ทนทาน แต่ยังคงให้ความนุ่มนวลในการใช้งาน ไม่แตกต่างจากการขับรถยนต์ ซึ่งยามาฮ่ามีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ โดยมีพื้นฐานจากรถยามาฮ่า เอทีวี (Yamaha ATV) ที่โด่งดังในต่างประเทศ จึงทำให้รถกอล์ฟยามาฮ่าสามารถตอบสนองการใช้งานของลูกค้าได้เป็นอย่างดีและด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมา แม้เราจะวางตำแหน่งรถไว้ในระดับสินค้าพรีเมี่ยมเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด แต่เราสามารถรับประกันได้ถึงความคุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างแน่นอน"
นอกจากนี้ นางสาวจินตนา กล่าวถึงเป้าหมายของยามาฮ่ากับการดำเนินธุรกิจรถกอล์ฟว่า "เราต้องการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้สูงขึ้น จากเดิมที่อยู่ราว 8-10% ภายใต้สโลแกน "Drive to be No.1" เราวางแผนที่จะขับเคลื่อนธุรกิจด้วยรถกอล์ฟที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมและตอบสนองการใช้งานของลูกค้าได้ในทุกเซ็กเม้นต์ ภายใน 3 ปี ต่อจากนี้ โดยคาดการณ์ว่าส่วนแบ่งการตลาดรถกอล์ฟยามาฮ่า จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดขึ้นไปอีก 15 - 20% และในปี พ.ศ. 2565 ยามาฮ่าหวังว่าจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นที่ 1 ในตลาดได้ ทั้งนี้ทางบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด จะเดินเกมรุกในด้านความหลากหลายของสินค้า รักษามาตรฐานคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพและการเข้าถึงบริการหลังการขายที่เป็นกันเองและรวดเร็วดังที่ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นเสมอมา พร้อมทั้งสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสนามกอล์ฟ แต่ละสนาม โดยเข้าร่วมสนับสนุนกิจกรรมกอล์ฟของสนามพันธมิตรและรายการแข่งขัน ทัวร์นาเม้นต์ต่างๆ ร่วมกับภาคธุรกิจอื่นๆ ด้วยองค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญ ความเป็นกันเอง เรามั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มศักยภาพให้สามารถแข่งขันและสร้างแบรนด์ในตลาดได้ทุกเซ็กเม้นต์ ด้วยการเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่องตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ โดยเป้าหมายและแนวทางทั้งหมดที่ยามาฮ่าวางไว้ทั้งในปีนี้และอีก 3 ปีข้างหน้านั้น เพื่อมุ่งเน้นที่จะส่งมอบสินค้า ที่มีคุณภาพ สร้างความสุขและความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้านั่นเอง"