กรุงเทพฯ--4 ธ.ค.--ตลท.
สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมฯ เผยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ล่าสุด เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงธันวาคม 2550 — ธันวาคม 2551 โดยนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ ปลายปี 2550 ไปที่เฉลี่ย 885 จุด จากระดับ 871 จุดซึ่งสำรวจไปเมื่อเดือนสิงหาคม และเพิ่มคาดการณ์ดัชนี ณ ปลายปี 2551 อยู่ที่เฉลี่ย 1,030 จุดจากเดิม 1,000 จุด นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจปีหน้า 2551 โดยผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปีหน้าจะมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโตเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 18.4 ในขณะที่ GDP Growth คาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 4.9 กลุ่มธุรกิจที่แนะนำให้ลงทุนคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน
สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงธันวาคม 2550 - ธันวาคม 2551 ทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้น ความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาลใหม่ แนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน คาดการณ์อัตราการขยายตัวของกำไรต่อหุ้นของบริษัทในกลุ่มธุรกิจสำคัญ กลุ่มธุรกิจและหุ้นที่แนะนำให้ลงทุน และคำแนะนำให้นักลงทุน โดยมีสำนักวิจัยจากบริษัทหลักทรัพย์ทั้งไทยและบริษัทต่างชาติแสดงความเห็นรวม 20 แห่ง
ปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงธันวาคม 2550 - ธันวาคม 2551 :
อันดับแรก นักวิเคราะห์มีความเห็นตรงกันถึงร้อยละ 85 คือ ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งคาดว่าการเมืองจะมีเสถียรภาพมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้งปลายปี และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เรียบร้อย
อันดับที่สอง มีผู้ตอบร้อยละ 35 คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ที่จะมีการขยายตัวดีในปี 51
อันดับที่สาม คือ กระแสเงินไหลเข้า โดยมีแนวโน้มที่เงินทุนจากต่างชาติจะไหลเข้าเอเชียอีก มีผู้ตอบร้อยละ 30
ยังมีปัจจัยบวกอื่น ๆ ได้แก่ การบริโภคที่เพิ่มขึ้น การเร่งใช้จ่ายของภาครัฐ การที่ตลาดหุ้นไทยยังมีราคาถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาค เป็นต้น
ปัจจัยลบที่สำคัญ :
อันดับแรก ที่นักวิเคราะห์ร้อยละ 80 มองตรงกัน คือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งอาจมีแนวโน้มชะลอตัว จากผลกระทบที่ได้รับจากปัญหาซับไพร์ม
อันดับสอง คือ ราคาน้ำมัน ที่ยังอยู่ในระดับสูง มีผู้ตอบร้อยละ 65
อันดับที่สาม มีผู้ตอบร้อยละ 35 คือ อัตราเงินเฟ้อ ที่อาจเพิ่มสูงขึ้น
ปัจจัยลบอื่น ๆ ที่นักวิเคราะห์บางรายกล่าวถึง ได้แก่ ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งอาจมีปัญหาวุ่นวายภายหลังการเลือกตั้ง การเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับของต่างชาติ ซึ่งจะ ส่งผลให้ตลาดหุ้นมีการปรับฐาน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินบาท เป็นต้น
จากผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักวิเคราะห์ในด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคมและการเมืองสำหรับปี 2551 เทียบกับปี 2550 พบว่า นักวิเคราะห์ร้อยละ 65 เชื่อว่า เศรษฐกิจ ในปี 2551 จะดีขึ้นจากปี 2550 เล็กน้อย โดยมีนักวิเคราะห์ร้อยละ 15 มีความเชื่อมั่นเท่าเดิม สำหรับในด้านสังคมและการเมือง นักวิเคราะห์ร้อยละ 65 เชื่อมั่นจะดีขึ้นเล็กน้อย และร้อยละ 25 มีความเชื่อมั่นเท่าเดิม
มาตรการสำคัญที่นักวิเคราะห์เสนอแนะให้รัฐบาลชุดหน้าที่มาจากการเลือกตั้ง ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม อันดับแรก คือ การผลักดันและเร่งรัดการลงทุนและใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการขนาดใหญ่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคขนส่งมวลชนและโลจิสติกส์ มีผู้ตอบร้อยละ 65 อันดับที่สองคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่จริงจังและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน โดยมีผู้ตอบร้อยละ 30 ด้านกฎหมายและมาตรการสำคัญ เป็นอันดับที่สาม มีผู้ตอบร้อยละ 25 โดยนักวิเคราะห์เสนอให้เร่งสร้างความชัดเจน และใช้ความรอบคอบในการพิจารณากฎหมายที่สำคัญ เช่น พรบ.ค้าปลีกค้าส่ง พรบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว มาตรการกันสำรอง 30% เป็นต้น
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาตลาดทุนให้เข้มแข็ง นักวิเคราะห์เสนอแนะให้รัฐบาลชุดหน้าดำเนินการในสองด้านใหญ่ ๆ คือ เพิ่มจำนวนสินค้าในตลาดหลักทรัพย์ และเพิ่มจำนวนนักลงทุน โดยมีผู้ตอบร้อยละ 47 และ 37 ตามลำดับ ทั้งนี้ การเพิ่มจำนวนสินค้าในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง การเพิ่มประเภทสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น เช่น เพิ่มตราสารใหม่ ๆ เกี่ยวกับ futures, options เป็นต้น และเพิ่มจำนวนบริษัท จดทะเบียน โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัทจดทะเบียน และอนุญาตให้มี dual listing สำหรับการเพิ่มจำนวนนักลงทุน นั้น นักวิเคราะห์แนะนำให้ดำเนินการส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับตลาดทุนให้ผู้มีเงินออมต่อไป เพื่อสร้างกลุ่มผู้ลงทุนใหม่ ๆ รวมทั้งให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนระยะยาว เช่น เพิ่มสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF เป็นต้น
จากการสำรวจครั้งนี้ สมาคมนักวิเคราะห์ฯ พบว่า นักวิเคราะห์มีการปรับตัวเลขคาดการณ์ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET Index เพิ่มขึ้นจากการสำรวจเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดย SET Index ณ สิ้นปี 2550 นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ย 885 จุด จากเดิมคาดไว้ 871 จุด และ SET Index ณ สิ้นปี 2551 คาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ย 1,030 จุด เพิ่มขึ้นจากที่คาดไว้เดิมที่ 1,000 จุด
ในครั้งนี้ สมาคมนักวิเคราะห์ฯ สำรวจตัวเลขสำคัญสำหรับทั้งปี 2551 คือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth ซึ่งตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยอยู่ที่ 4.9% ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ 18.4%
สำหรับตัวเลขสำคัญ ณ สิ้นปี 2551 นักวิเคราะห์คาดว่า อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ. ณ สิ้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ 32.9 บาท และอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ในปลายปี 2551 นักวิเคราะห์คาดว่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.4%
ตารางที่ 1 - ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจ
ค่าเฉลี่ย ตัวเลขของ ตัวเลขของ จำนวนสำนักวิจัยที่ตอบ
ผู้คาดการณ์สูงสุด ผู้คาดการณ์ต่ำสุด
สำรวจ ณ สำรวจ ณ สำรวจ ณ สำรวจ ณ สำรวจ ณ สำรวจ ณ สำรวจ ณ สำรวจ ณ
21สค.50 28 พย.50 21สค.50 28 พย.50 21สค.50 28 พย.50 21สค.50 28 พย.50
SET Index
- ณ สิ้นปี 50 871 885 1,000 990 763 750 18 18
- ณ สิ้นปี 51 1,000 1,030 1,200 1,200 930 900 16 20
รวมทั้งปี 2551
GDP Growth 4.9 5.6 4.5 18
EPS Growth 18.4 35 4.5 19
ณ สิ้นปี2551
FOREX Bht:US$ 32.9 35 31 18
ดอกเบี้ยRP 1วัน 3.4 4.1 2.5 18
ในส่วนของประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า 2551 ประเมินจากอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ จากผลที่ได้จากแบบสอบถาม พบว่า กลุ่มธนาคารมีอัตราการเติบโตสูงสุด โดยมีค่าเฉลี่ย EPS Growth ที่ร้อยละ 126.4 อันดับสองคือ อสังหาริมทรัพย์ เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 16.6 อันดับต่อมาคือ กลุ่มปิโตรเคมี เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 13.8
ตารางที่ 2 - EPS Growth (%) ปี 2551 แยกตามกลุ่มธุรกิจ
กลุ่มธุรกิจ ค่าเฉลี่ย
ธนาคาร 126.4
อสังหาริมทรัพย์ 16.6
ปิโตรเคมี 13.8
พลังงาน 11.2
เดินเรือ 8.1
วัสดุก่อสร้าง -3.4
นักวิเคราะห์แนะนำกลุ่มธุรกิจที่น่าลงทุนต่อไป ในอันดับต้น ๆ คือ ธนาคาร และพลังงาน สำหรับกลุ่มอื่นที่แนะนำรองลงมาคือ อสังหาริมทรัพย์รวมถึงวัสดุก่อสร้าง ทั้งนี้ เชื่อว่ากลุ่มธนาคารจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจซึ่งจะส่งผลให้สินเชื่อเติบโตขึ้น และจากการตั้งสำรองเรียบร้อยแล้วในไตรมาส 3 ปี 2550 ซึ่งจะช่วยให้กำไรมีการขยายตัว พลังงาน จะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง สำหรับกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ ก็จะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ
หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ BANPU, BAY, BBL, KBANK, PTT, PTTEP, SCB เป็นต้น (เรียงตามลำดับตัวอักษร) นอกจากนี้ เคล็ดลับการลงทุนที่นักวิเคราะห์แนะนำคือ ให้ใช้ความระมัดระวัง และพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากตลาดมีความผันผวนสูง โดยแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยเลือกหุ้นที่ราคาปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาพื้นฐานที่เหมาะสม และมีอัตราการขยายตัวของกำไรดี มีเงินปันผลสูง
แหล่งข้อมูล...สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โทร. 02-229-2329, 02-229-2355-6 อีเมล์ jirawan@saa-thai.org