กรุงเทพฯ--22 มิ.ย.--กลุ่มประชาสัมพันธ์ กระทรวงวัฒนธรรม
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2561 ที่ Myanmar International Convention Center 2 กรุงเนปิดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานเปิดการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เมียนมา โดยมีนางอองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา แขกเกียรติยศ เอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนาและวัฒนธรรมเมียนม่า ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ประชาชนชาวเมียนมาและชาวไทย เข้าร่วม
นายวีระ กล่าวว่า ประเทศไทย โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ร่วมกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรมการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ณ กรุงเนปิดอ กรุงย่างกุ้ง และเมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างวันที่ 17 - 25 มิถุนายน 2561 เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เมียนมา ทั้งนี้ ประเทศไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2491 และปัจจุบันทั้งสองประเทศ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งระดับรัฐบาลและประชาชน มีการพบปะและเยี่ยมเยือนกันอย่างเสมอมา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ณ Yangon National Theater กรุงย่างกุ้ง และวันนี้ (21 มิถุนายน) ได้จัดการแสดงโขนขึ้น ณ Myanmar International Convention Center 2 กรุงเนปิดอ หลังจากนั้นจะมีพิธีเปิดและจัดการแสดงโขนในวันที่ 23 มิถุนายน ณ Mandalay National Theater เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ทั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทย และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งการแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ แบ่งการแสดงเป็น 4 องก์ ได้แก่ องก์ 1 นารายณ์ปราบนนทุก แสดงโดยนักแสดงจากประเทศไทย องก์ 2 พระรามยกศร แสดงโดยนักแสดงจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา องก์ 3 ลักสีดา แสดงโดยนักแสดงจากประเทศไทย และ องก์ 4 ยกรบ แสดงโดยนักแสดงจากประเทศไทย ซึ่งในส่วนประเทศไทยนั้น ได้นำคณะนาฏศิลป์จากกรมศิลปากรไปจัดการแสดงในครั้งนี้
นายวีระ กล่าวด้วยว่า การแสดงโขนเป็นศิลปะชั้นสูงและเป็นการแสดงที่งดงาม ซึ่งความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของวธ.ในการใช้มิติทางวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ เสริมสร้างภาพลักษณ์และเกียรติภูมิของประเทศไทยและนำความเป็นไทยสู่สากล รวมถึงจะส่งผลต่อความสัมพันธ์และการขยายความร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การลงทุนและการส่งออกระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน