บล.เอเซีย พลัส มองหุ้นไทยไตรมาส 3 ปีนี้ ยังผันผวนสูง แนะหุ้นปลอดภัยดอกเบี้ยขาขึ้น-เลี่ยงหุ้นสงครามการค้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 27, 2018 13:43 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 มิ.ย.--เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ บล.เอเซีย พลัส มองทิศทางตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3 ปี 2561 ยังผันผวนสูง โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากความกังวลผลกระทบจากสงครามการค้าโลกที่ขยายตัวเป็นวงกว้าง สร้างความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจโลก ขณะที่ดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ขาขึ้น หนุนเงินไหลออก กลยุทธ์การลงทุนจึงให้ทยอยสะสมหุ้นที่ SET Index ต่ำกว่า 1,700 จุด โดยเน้นหุ้นปลอดภัยจากดอกเบี้ยขาขึ้น และเลี่ยงหุ้นที่ถูกกระทบจากสงครามการค้าโลก คุณภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ช่วงครึ่งหลังของปี 2561 เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น จากสงครามการค้าโลกที่ขยายวงกว้าง โดยขณะนี้ไม่ใช่แค่สหรัฐฯกับจีนเท่านั้นที่เป็นคู่พิพาทกัน แต่สหรัฐฯ ยังเปิดศึกการค้ากับยุโรป เม็กซิโก และแคนาดา ทำให้หลายประเทศดังกล่าว ตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน หลังจากสหรัฐฯ ได้ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมทั่วโลกไปก่อนหน้านี้ จากการศึกษาของธนาคารโลก (World Bank) ประเมินว่าการกีดกันทางการค้าทุก ๆ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ จะกระทบต่อการค้าโลกปี 2561 หดตัวราว 9% ขณะที่วงเงินกีดกันการค้าจากสหรัฐฯ อาจขึ้นไปแตะ 2.5 แสนล้านเหรียญฯ ทำให้ผลกระทบรุนแรงขึ้น และไม่ได้กระทบเฉพาะผู้ผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น แต่ผู้ผลิตสินค้าสนับสนุนการส่งออก (Supply Chain) กระทบด้วย ขณะที่ผู้บริโภคจะกระทบจากราคาสินค้าที่แพงขึ้น ตามมาด้วยแรงกดดันเงินเฟ้อ และกระทบเศรษฐกิจโลกในท้ายที่สุด ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก (GDP Growth) ปี 2561-2562 ตามคาดการณ์ของ IMF อยู่ที่ 3.9% yoy เป็นการเติบโตจากฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป คุณภรณี กล่าวอีกว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้ กระแส Fund Flow ยังไหลออก เนื่องจากสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด นับตั้งแต่ต้นปี 2561 จนถึงปัจจุบัน ต่างชาติขายสุทธิหุ้นภูมิภาคเอเซียกว่า 1.93 หมื่นล้านเหรียญ โดยหุ้นไทยถูกขายมากสุดในกลุ่ม TIP (ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) อย่างไรก็ตาม มองว่าจากนี้ไปแรงขายหุ้นภูมิภาคน่าจะจำกัด สะท้อนจากการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นเดือน พ.ค. 2561 อยู่ที่ 23.2% รวมกับการถือผ่าน NVDR อีก 7.01% เป็น 30.20% ถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับสูงสุดที่ 36.88% เมื่อสิ้นเดือน มี.ค.2555 สอดคล้องกับสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่าไตรมาส 3 ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยเฉลี่ยเล็กน้อย 771 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อสุทธิ 5 ใน 10 ปี "ไตรมาสที่ 3 และช่วงครึ่งปีหลัง เรื่องสงครามการค้าโลกจะรุนแรงมากขึ้น กลายเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก เรื่องดอกเบี้ยก็เช่นกัน สหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด เงินทุนก็จะยังไหลออก สองเรื่องนี้จะเป็นประเด็นหลัก ที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงหุ้นไทย" รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าว คุณภรณี กล่าวว่า ภาพรวมกำไรสุทธิตลาดในไตรมาส 2 ปี 2561 จะอ่อนตัวลงจากไตรมาสแรก แต่กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี อาจได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ทำให้มีกำไรจากสต็อคน้ำมัน ขณะที่ฝ่ายวิจัย ปรับลดคาดการณ์กำไรตลาดปี 2561 มาอยู่ที่ 1.10 ล้านล้านบาท คิดเป็น EPS 110.70 บาทต่อหุ้น จากประมาณการเดิมที่ 1.12 ล้านล้านบาท และ EPS 112.39 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมามีการปรับฐานเกิดขึ้น ทำให้ระดับ Expected P/E ลงมาอยู่ที่ราว 15 เท่า และมี upside ประมาณ 7% โดยอิง P/E 16 เท่า ทำให้ได้ SET Index เป้าหมายที่ 1,771 จุด ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ จึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น 40% ของพอร์ต จากเดิม 30% โดยกลยุทธ์การลงทุนเน้น Domestic Play ใน 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มปลอดภาระหนี้ กลุ่มมีหนี้กับสถาบันการเงินน้อย กลุ่มมีภาระดอกเบี้ยจ่ายอัตราคงที่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่จะได้ประโยชน์จากความคืบหน้าการลงทุนภาครัฐ และการลงทุนภาคเอกชน ที่มีสัญญาณดีขึ้น ขณะที่ให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่อาจกระทบจากสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม มองว่าช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นตอบรับความกังวลจากประเด็นสงครามการค้าไประดับหนึ่งแล้ว แอปพลิเคชัน ASP SMART (App Store และ Google Play)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ