กรุงเทพฯ--27 มิ.ย.--ธนาคารกสิกรไทย
ธุรกิจบริการไพรเวทแบงก์ ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ Lombard Odier มองเศรษฐกิจโลกยังเติบโตได้ดี ไร้สัญญาณวิกฤติเศรษฐกิจ ทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน และประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ จากการวิเคราะห์เจาะลึกโดย ดร.แซมมี่ ชาร์ นักเศรษฐศาสตร์มือหนึ่งระดับโลกจากเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมพัฒนาศักยภาพการให้คำแนะนำจัดพอร์ตลงทุนและขยายผลิตภัณฑ์การลงทุนเพิ่มอีก 2 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังต่อยอดบริการความมั่งคั่งให้ลูกค้าเศรษฐีไทย ครอบคลุมทุกความต้องการ รองรับการเติบโต และยืนหยัดความเป็นผู้นำในธุรกิจนี้
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Business Group Head ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจไพรเวทแบงก์ในประเทศไทย ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดจากการแข่งขันที่สูงมากขึ้น ทั้งจากการตั้งบริษัทร่วมทุน และการที่ผู้ให้บริการต่างชาติกลับเข้ามาตั้งสำนักงานอีกครั้ง ทั้งนี้ ธนาคารฯ มองว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะในขณะที่คู่แข่งให้ความสำคัญกับเรื่องการลงทุนและผลตอบแทน แต่ธนาคารฯ มองกว้างและลึกกว่านั้น โดยเห็นว่าลูกค้าที่มีสินทรัพย์มาก (High Net Worth Individual - HNWI) มักมีความกังวลมากตามไปด้วย ไม่เพียงเท่านี้สินทรัพย์ของลูกค้ายังมีความหลากหลายและไม่จำกัดอยู่ในตลาดทุนเท่านั้น ซึ่งในระดับโลกมีการพัฒนาเครื่องมือทางการเงินต่างๆ มาใช้บริหารสินทรัพย์ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่ใช่เพียงเพื่อสร้างความเติบโตให้ทรัพย์สินเท่านั้น (To Grow) แต่ยังรวมถึง 2 เรื่องสำคัญคือ การรักษาสินทรัพย์ (To Keep) และการส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น (To Pass) ซึ่งการที่ธนาคารฯ เป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการไพรเวทแบงก์ชั้นนำระดับโลกอย่างลอมบาร์ด โอเดียร์ (Lombard Odier) ทำให้สามารถนำเสนอคำแนะนำ พร้อมจัดวางเครื่องมือที่หลากหลายเพื่อใช้จัดการและบริหารความมั่งคั่งของลูกค้าได้ในองค์รวม โดยขึ้นกับความเหมาะสมของลูกค้าหรือสภาพตลาดในช่วงนั้น ทั้งหมดนี้ จึงได้ช่วยยกระดับให้ธนาคารฯ มีความสามารถทัดเทียมกับสถาบันการเงินระดับโลก อีกทั้งยังผสานจุดแข็งของความเป็นที่หนึ่งในตลาดประเทศไทยกับจุดแข็งด้านการเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในการตลาดโลกกว่า 222 ปี ของลอมบาร์ด โอเดียร์ สร้างเป็นบริการที่ครอบคลุมมากที่สุดและโดดเด่นที่สุดในประเทศไทย
ด้าน ดร.แซมมี่ ชาร์ หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ จากลอมบาร์ด โอเดียร์ (Lombard Odier) ในฐานะพันธมิตรสำคัญ ได้ร่วมถ่ายทอดมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ไว้อย่างน่าสนใจว่า "ในภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง และครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค นำโดยสหรัฐฯ ตามด้วยยุโรป และกลุ่มประเทศเกิดใหม่ โดยเศรษฐกิจหลักๆ มีฐานะทางการเงินและการคลังที่เข้มแข็งขึ้น ขณะที่นโยบายภาครัฐฯ ยังอยู่ในเชิงผ่อนคลายและประคับประคองเศรษฐกิจ ที่แม้จะไม่เติบโตแบบเร่งตัวดังเช่นในปีที่ผ่านมา แต่ขยายตัวอย่างสม่ำเสมอและมีเสถียรภาพ ส่งผลถึงความสามารถในการสร้างกำไรของภาคธุรกิจ แม้จะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบเป็นระยะ อาทิ มาตรการกีดกันการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศอิตาลีและสเปน รวมทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยขับเคลื่อนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดี ทิศทางดอกเบี้ยแม้จะอยู่ในขาขึ้นแต่ในระดับที่ไม่สูงมากจนเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ และไม่มีสัญญาณการชะลอตัวอย่างรุนแรงหรือวิกฤติเศรษฐกิจ นักลงทุนจึงไม่ควรกังวลมากเกินไป หากควรพิจารณาจัดพอร์ตการลงทุนตามพื้นฐานที่แท้จริงของเศรษฐกิจ ศักยภาพการสร้างผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งความเข้มแข็งทางการเงินของผู้ออกตราสารหนี้ โดยกระจายเงินลงทุนให้หลากหลายทั้งเงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้นกู้แปลงสภาพ หุ้น และโภคภัณฑ์ ในสัดส่วนที่สอดคล้องกับความเสี่ยงของตนเอง สำหรับตราสารทุนภูมิภาคที่น่าสนใจคือยุโรปและกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เนื่องจากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงกลางของระยะฟื้นตัวและยังมีเวลาที่จะเติบโตได้ต่อ"
นายจิรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้เศรษฐกิจโลกจะไปในทางใด แต่ลูกค้าของธุรกิจบริการไพรเวทแบงก์ ธนาคารกสิกรไทย ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปราศจากความกังวล เพราะธนาคารฯ ได้นำเสนอนวัตกรรมด้านการลงทุนในหลากหลายมิติ เพื่อเป็นทางเลือก และเสริมความสามารถทั้งในการรับและปรับความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ด้วยคำแนะนำบนหลักการหักกลบความเสี่ยง เน้นลงทุนระยะยาว และการนำเงินเข้าลงทุนตลอดเวลา (Stay Invested) เพื่อสะสมผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ แม้ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
ปัจจุบันลูกค้าไม่เพียงนำเงินมาลงทุน แต่อาจมีสินทรัพย์อื่นที่ไม่มีสภาพคล่องเท่าเงินสดมาลงทุนได้ เช่น ธุรกิจของครอบครัว ที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธนาคารฯ มีบริการ"การบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management)" ที่ผสานองค์ความรู้กว่า 222 ปีจากลอมบาร์ด โอเดียร์ เข้ากับความเข้าใจในตลาดไทย เพื่อพัฒนาเป็นบริการในแบบฉบับคนไทย ครอบคลุมทุกความต้องการ ซึ่งถือเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่สามารถส่งมอบบริการนี้ได้อย่างครบถ้วน
ธนาคารฯ มองว่าหนึ่งในความรับผิดชอบหลักของผู้ให้บริการไพรเวทแบงก์ คือ 'การบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ให้ทรัพย์สินของลูกค้า จากความเป็นจริงที่สภาพเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยปรัชญาที่ธนาคารฯ เน้นเสมอมาคือ (1) ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนแบบ Asset Allocation บนหลักการ Risk Based Approach ด้วยผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่เพิ่มความง่ายในการกระจายความเสี่ยง (2) ใช้กระบวนการสร้างอัตราทด (Leverage) ควบคู่ไปกับการจัดการความเสี่ยงขาลง (Drawdown Management) สำหรับปรับระดับความเสี่ยง (3) พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดรับกับความผันผวนที่มากขึ้น เช่น หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงประเภทคุ้มครองเงินต้น และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ควบคู่ไปกับการวางแผนภาษีและการส่งต่อทรัพย์สินให้ทายาทได้ด้วย (4) สนับสนุนการลงทุนในธุรกิจที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการมีบรรษัทภิบาลที่ดี หรือ ESG (Environmental Social Governance) ที่คาดว่าจะนำมาซึ่งความยั่งยืน (Sustainable Investing)"
ธุรกิจบริการไพรเวทแบงก์ ธนาคารกสิกรไทย เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเก็บรักษาและดูแลสินทรัพย์ ตลอดจนการทำให้งอกเงย รวมไปถึงการส่งต่อทั้งทรัพย์สินและธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดของการมอบบริการ คือ มุ่งเน้นสร้างความสุข (Standing for Happiness) และแบ่งเบาภาระในชีวิตของลูกค้า (Structuring a Worry Free Life) เพื่อความมั่งคั่งที่สมบูรณ์ (Perfect Wealth)