กรุงเทพฯ--2 ก.ค.--บล.ทรีนีตี้
ทรีนีตี้ประเมินดัชนีหุ้นไทยเดือนก.ค.มีโอกาสฟื้นตัวสู่ระดับ 1,650 จุด หลังร่วงแรงในเดือนมิ.ย.กดราคาหุ้นใหญ่ปรับตัวลงมากจึงมีโอกาสรีบาวน์กลับ แต่ดัชนีจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ถึง 1,700 จุดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผลงานไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่แนะให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังเมื่อเข้าสู่เดือนสิงหาคม เนื่องจากจะมีการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติอีกครั้ง ตามดัชนี MSCI EM ที่จะเพิ่มน้ำหนักหุ้น A-Share ของจีนเป็นรอบที่สอง
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนกรกฎาคมต่อเนื่องถึงเดือนสิงหาคม 2561ว่า สำหรับตลาดหุ้นเดือนกรกฎาคมมองว่าน่าจะมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง โดยดัชนีมีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,650 จุด เนื่องจากระดับ Forward PE ปัจจุบันอยู่เพียง 13.3 เท่าเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่จูงใจในแง่ของ Valuation แล้ว และหากไล่ดูเหตุการณ์ต่างๆในเดือนกรกฎาคม ก็ไม่น่ามีปัจจัยอะไรที่มีนัยสำคัญมากดดันตลาด นอกเหนือไปจากประเด็นสงครามการค้าที่เป็นปัจจัยรบกวนเชิง Sentiment เท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนสิงหาคม แนะนำให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะมีปัจจัยลบที่อาจเข้ามากระทบ ได้แก่ แรงขายของนักลงทุนต่างชาติประเภท Passive funds จากการที่ MSCI เตรียมเพิ่มน้ำหนักหุ้น A-Share ของจีนเข้าสู่การคำนวณดัชนี MSCI EM (ดัชนี MSCI สำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่) เป็นรอบที่สอง ซึ่งในรอบแรกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็ส่งผลกดดันต่อหุ้นไทยไปในระดับหนึ่งแล้ว โดยทางทรีนีตี้ประเมินว่าจะมีการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินออกจากประเทศเกิดใหม่อื่นเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงของประเทศอิตาลี ที่มีการครบกำหนดชำระหนี้ก้อนใหญ่ในเดือนสิงหาคมนี้ หากในระยะเวลาใกล้ๆ สถานะการคลังของประเทศอิตาลียังไม่ค่อยดี และบริษัทจัดอันดับเครดิตมีการออกมาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ อาจส่งผลให้เกิดบรรยากาศเชิงลบกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้
ดังนั้นสำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือนกรกฎาคมนั้น นายณัฐชาตได้แนะนำว่า สำหรับผู้ที่ยังถือเงินสดในระดับมากกว่าปกติ ให้เข้าสะสมหุ้นที่ระดับปัจจุบันแถวดัชนี 1,600 จุด และคาดหวังการฟื้นตัวของดัชนีขึ้นมาที่บริเวณ 1,650 จุดเป็นอย่างน้อย หรือหากในกรณีดีสุดที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทยอยออกมาดีกว่าตลาดคาด ดัชนีก็มีโอกาสขึ้นไปทดสอบบริเวณ 1,700 จุดได้เช่นกัน มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจได้แก่หุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ที่มีการปรับฐานลงมาแรงจนมี Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ และคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในระดับที่เหมาะสม เช่น PTT และ SCC เป็นต้น ส่วนในกรณีแย่สุด มอง Downside ของดัชนีที่ระดับ 1,550 จุด ซึ่งคำนวณจากระดับ PE ปัจจุบันที่ 14.1 เท่า
นายณัฐชาตยังได้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในภาพใหญ่สำหรับตลาดหุ้นไตรมาส 3ด้วยว่า จะยังคงมีความกังวลในเรื่องสงครามการค้า ซึ่งจะทำให้บรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบอยู่บ้าง
อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกจากการปรับเพิ่มประมาณการของนักวิเคราะห์ โดยเฉพาะกับกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งสวนทางกับหุ้นขนาดเล็กที่ยังคงเห็นการปรับลดประมาณการอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาที่ตลาดปรับฐานลงอย่างรุนแรง ก็เป็นการปรับฐานลงของหุ้นขนาดใหญ่เป็นสำคัญ ทำให้ Valuation ล่าสุดของหุ้นกลุ่มนี้มีระดับที่น่าสนใจพอสมควร
"ทรีนีตี้มองว่าการที่ราคาหุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวลงสวนทางกับประมาณการกำไรที่ถูกปรับขึ้น ทำให้ ณ เวลานี้ Valuation ของหุ้นกลุ่มนี้มีความจูงใจมาก ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยเก็บสะสมหุ้นขนาดใหญ่ ตั้งแต่สิ้นเดือนมิถุนายนจน ถึงต้นเดือนกรกฎาคม โดยคาดหวังว่าหากดัชนีมีการรีบาวน์ขึ้น หุ้นขนาดใหญ่น่าจะปรับตัวขึ้นได้ก่อนกลุ่มอื่น" นายณัฐชาต กล่าว