กรุงเทพฯ--12 ธ.ค.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น
นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ซีคอน จำกัด และบริษัท คอมแพค โฮม จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปี 2550 ว่า โดยรวมธุรกิจรับสร้างบ้านยังขยายตัวได้ดี ท่ามกลางปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและความไม่ชัดเจนทางการเมือง โดยมีสาเหตุมาจากผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น และการกลับมาของกำลังซื้อของธุรกิจรับสร้างบ้าน คาดว่าตลาดรวมทั้งปีของบริษัทรับสร้างบ้านน่าจะมีมูลค่าเทียบเท่าหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2549 รวม 8,000 ล้านบาท โดยช่วงที่มียอดขายมากที่สุด คือ ไตรมาสที่ 3 เป็นผลมาจากการจัดงานของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านในเดือนสิงหาคม ซึ่งประสบความสำเร็จกับยอดจองภายในงานถึง 1,500 ล้านบาท มากกว่าที่สมาคมฯ ประเมินไว้ที่ 1,000 ล้านบาท
เกี่ยวกับการวิเคราะห์กลยุทธ์ทางการตลาดของกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านนั้น นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กล่าวแสดงความเห็นว่า “กลยุทธ์ที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นการสร้าง Brand Differentiate และวาง positioning ของตนเองให้ชัดเจน และจากการที่บริษัทรับสร้างบ้านต่างช่วยกันยกระดับมาตรฐานการสร้างบ้านเพื่อให้แตกต่างจากผู้รับเหมารายย่อย หลายบริษัทจึงหันมาทำตลาดบ้านระดับกลาง-ล่างมากขึ้น เพื่อขยายส่วนแบ่งทางการตลาด โดยอาศัยการเปิดบริษัทลูกเพื่อรับงานจากบริษัทแม่ หรือแตกบริษัทเพื่อเจาะตลาดใหม่ ด้านการบริการจะเป็นบริการแบบ One Stop Service ซึ่งมีทั้งการจับมือกับพันธมิตร หรือแตกบริษัทลูก เช่น เปิดบริษัทตกแต่งภายใน จัดสวน บางรายจัดทำบ้านพร้อมตกแต่ง ทั้งนี้เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้า และเพื่อเป็นการปรับตัวรับสภาวะเศรษฐกิจและแสวงหาโอกาสในการทำตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น บริษัทรับสร้างบ้านจึงเปิดสาขาในต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว หรือแหล่งคมนาคมขนส่ง ทั้งนี้เนื่องจากตลาดต่างจังหวัดยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะกว่า 90% จะสร้างบ้านเองมากกว่าซื้อบ้านจัดสรร และลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาในปีนี้ก็เป็นลูกค้าจากต่างจังหวัดไม่น้อย”
หากพิจารณาภาพรวมการแข่งขันของธุรกิจรับสร้างบ้านพบว่า การแข่งขันโดยรวมในปีนี้หากเป็นบ้านระดับราคาต่ำ ยังคงเห็นการแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก ส่วนบ้านราคาระดับกลางขึ้นไป จะเน้นคุณภาพมากกว่าราคา แต่จากการแข่งขันที่รุนแรงในช่วงปลายปี ส่งผลให้หลายบริษัทต้องหันมาใช้กลยุทธ์บ้านราคาเดิม ก่อนที่จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นในปีหน้า เพื่อทำยอดขายให้ได้มากที่สุด ถึงแม้จะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง แต่ก็ยังเห็นถึงความร่วมมือกันระหว่างผู้ประกอบการรับสร้างบ้านเพื่อพัฒนาธุรกิจรับสร้างบ้านผ่านทางสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่เห็นได้ชัดในปีนี้ คือ การร่วมมือกันร่างสัญญามาตรฐาน เพื่อนำมาใช้ในปี 2551 เพื่อปกป้องสิทธิของผู้บริโภคไม่ให้โดนเอาเปรียบ สร้างความยุติธรรมให้กับทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค
ด้านสถานการณ์ภายหลังการเลือกตั้งนั้นเชื่อว่าในช่วงแรกภาพรวมทุกธุรกิจรวมทั้งธุรกิจรับสร้างบ้าน จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เพราะนโยบายต่างๆ มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งก็ง่ายต่อการตัดสินใจลงทุนหรือขยายกิจการ แต่ปัจจัยลบต่างๆ ก็ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้น 3-10% อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปีหน้าบริษัทรับสร้างบ้านหลายรายต้องปรับราคาขายให้สูงขึ้น 5-10% เพื่อให้ราคาแปรผันไปตามต้นทุน หลังจากไม่ได้ปรับหรือว่าปรับน้อยมากในปี 2550 ถึงแม้ว่าแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านจะมีแนวโน้มขยายตัวมากที่สุด แต่การแข่งขันทางด้านราคาน่าจะลดลงในปีหน้า เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การลดลงราคามากเกินไป อาจทำให้ผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนไม่ไหว ก่อให้เกิดการทิ้งงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคกังวลมาก อีกทั้งพฤติกรรมของลูกค้าที่มาใช้บริการรับสร้างบ้าน เห็นได้ชัดว่ามีการศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียด เปรียบเทียบทั้งรูปแบบ ราคา วัสดุก่อสร้าง รวมไปถึงภาพลักษณ์ของบริษัทรับสร้างบ้าน เน้นเรื่องความคุ้มค่าที่ได้รับมากกว่าบ้านราคาถูก การแข่งขันด้านราคาจะทำให้ความน่าเชื่อถือของบริษัท และธุรกิจรับสร้างบ้านลดลงได้ “การแข่งขันในปีหน้า จะเน้นการสื่อสารกับลูกค้าโดยตรงมากขึ้น จากความสำเร็จอย่างมากของการออกบูธแต่ละครั้ง โดยเฉพาะงานใหญ่ของทางสมาคมฯที่จะจัดขึ้นช่วงเดือนสิงหาคมในทุกๆ ปี การสื่อสารกับลูกค้าโดยตรงทำให้บริษัทได้รับรู้ถึงความต้องการของลูกค้าได้ดี สามารถอธิบายถึงสินค้าและบริการได้อย่างละเอียด สร้างความเข้าใจได้ถูกต้อง และต้นทุนที่ใช้ยังน้อยกว่าการสื่อสารผ่านสื่ออีกด้วย ส่วนการบริการต้องเป็นแบบครบวงจร พยายามนำเทคโนโลยีมาช่วยทั้งการบริการและการก่อสร้าง สร้างความพึงพอใจ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าจนกระทั่งเกิดการบอกต่อ ซึ่งจะทำให้บริษัทได้ฐานลูกค้าที่มีความจงรักภักดีต่อตราสินค้า สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัท โดยที่ไม่ต้องโฆษณา ฉะนั้นเราคงจะเห็นการทำการตลาดแบบเข้มข้นต่อเนื่องไปตลอดทั้งปี 2551 เพราะกำลังซื้อในตลาดยังคงมีอยู่ จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ที่เข้าร่วมชมงานรับสร้างบ้าน 2007 จำนวนประมาณ 9,000 ตัวอย่างพบว่า กว่า 50% มีแนวโน้มที่จะสร้างบ้านภายใน 1-2 ปี ข้างหน้า ทางสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านจึงประเมินมูลค่าตลาดบริษัทรับสร้างบ้านปี 2551 จะขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 8,500 ล้านบาท” นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กล่าว
ด้านภาพรวมธุรกิจของซีคอน โฮม ในปี 2550 นั้น ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ซีคอน จำกัด สรุปผลการดำเนินการว่า “ปี 2550 ถือเป็นปีแห่งความสำเร็จและการพัฒนาในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง Brand Awareness ด้วยการออกโฆษณาทางโทรทัศน์เมื่อต้นปี 2550 การพัฒนาแบบบ้านหลากหลายแบบ หลากหลายสไตล์ทั้ง 2 ชั้นและ 3 ชั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค การพยายามเพิ่มบริการให้ลูกค้าเกิดความสะดวกสบาย ทั้งการขยายสาขาใหม่ 3 สาขา ที่รามอินทรา แจ้งวัฒนะ และกาญจนาภิเษก การนำโปรแกรมเข้ามาอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถชมแบบบ้านได้ทั้งภายนอก และภายในทั้ง 360 องศา และการพัฒนา website ให้มีความทันสมัยมากขึ้น เพิ่มช่องทางในการให้รายละเอียดข้อมูลและการติดต่อกับลูกค้า สำหรับปีหน้านั้น การวางกลยุทธ์และแนวทางคงจะไม่แตกต่างจากที่ทำมาในปีนี้ โดยจะเน้นไปที่ความต้องการของลูกค้า (Customer focus) ดูว่าลูกค้าต้องการอะไร เพื่อการพัฒนาแบบบ้านไปในทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งต้องถูกต้องทั้งสไตล์ พื้นที่ใช้สอย เราจะออกแบบบ้านใหม่ๆมาอย่างต่อเนื่อง ให้ครบทุกขนาด ทุกสไตล์ เพราะกลุ่มลูกค้าของซีคอนโฮมค่อนข้างกว้าง และมีทุกระดับ ทั้งนี้ทั้งนั้นแบบบ้านต้องมีราคาที่พอเหมาะกับงบประมาณกลุ่มเป้าหมายเราพึงจะจ่ายด้วย นอกจากนี้เราจะเน้นการบริการที่เพิ่มความสะดวกสบาย สร้างความพึงพอใจกับลูกค้า สามารถแก้ไขปัญหา เป็นที่ปรึกษาเรื่องบ้านกับลูกค้าได้ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องที่ดิน ซึ่งทีมงานของเราจะต้องสามารถหาแบบบ้านที่เหมาะสมกับที่ดินและMatch กับความต้องการของลูกค้าได้ ส่วนเรื่องการสื่อสารเราจะใช้ Brand เพื่อการสื่อสารกับลูกค้ามากกว่าจะใช้ Product นำ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการจดจำ Brand และสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้า ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการแข่งขันกันในธุรกิจรับสร้างบ้าน โดยสรุปก็คือปี 51 ซีคอนโฮมจะเน้นที่การบริการ และการหาวิถีทางเพิ่มมูลค่า (Value Added) ให้ลูกค้ามากที่สุด”
“ส่วนภาพรวมของ คอมแพคโฮม ในปี 2550 นั้น แม้จะอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ก็ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรามีความชัดเจนในกลุ่มเป้าหมาย ทำให้รู้ซึ้งถึงความต้องการและตอบโจทก์แก่ลูกค้าได้อย่างตรงจุด ซึ่งบ้านคอมแพคโฮม ถึงจะเป็นบ้านขนาดกะทัดรัด แต่ก็โดดเด่นและมีสไตล์ที่เด่นชัด แบบ Modern Oriental ซึ่งพบได้น้อยมากในตลาดกลุ่มเดียวกัน ในปีนี้เราเน้นการออกบูธถึง 2 ครั้ง ภายในครึ่งปี ทั้งงานใหญ่ร่วมกับสมาคมฯที่ศูนย์สิริกิติ์ และงานบ้านและสวนแฟร์ 2007 เพื่อเราจะได้ใกล้ชิดกับลูกค้า ให้ Brand คอมแพค โฮม สร้างความคุ้นเคยกับลูกค้าให้เร็วที่สุด ด้วยการออกโฆษณาทางโทรทัศน์ถึง 2 ชุด เพื่อแสดงความเป็นตัวตนของ คอมแพคโฮม ให้ลูกค้ารู้สึกว่าคอมแพคโฮม เป็น Brand ที่ Friendly สัมผัสได้ง่าย สร้างการจดจำ Brand ด้วยคำพูดง่ายๆ เช่น “สร้างบ้านกับคอมแพคโฮม เริ่มต้นเพียง 7 แสนกว่าบาท” ยอมรับการแข่งขันของคอมแพคโฮม มีการใช้กลยุทธ์ด้านราคามาใช้พอสมควร ซึ่งเราจะเห็นการแข่งขันด้านราคาในตลาดบ้านระดับนี้มีค่อนข้างมาก ซึ่งแนวโน้มการแข่งขันจะเป็นอย่างนี้ต่อไปในปี 51 แต่อาจจะลดความรุนแรงลง แต่สำหรับคอมแพคโฮมนั้น ทิศทางในปี 2551 นั้น เราจะเน้นเรื่องราคาน้อยลง เพราะอยากจะให้ลูกค้ารับรู้ถึงคุณภาพมาตรฐานของบ้านคอมแพคโฮมมากกว่า ดังนั้นการสื่อสารจะเป็นเรื่อง ความคุ้มค่ากับเงินที่ลูกค้าจะจ่ายออกไป สิ่งที่สำคัญเลยสำหรับคอมแพคโฮม คือ การสร้าง Brand Awareness ให้ลูกค้าจดจำให้ได้ เพราะยังถือว่าเราเป็นบริษัทใหม่ ซึ่งเรื่อง Brand เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าสร้าง Brand ได้สำเร็จ การสื่อสารกับลูกค้าเรื่องอื่นๆ ต่อไป ลูกค้าก็จะรับรู้ได้เร็วขึ้น ส่วนเรื่องแบบบ้าน คงจะมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นจาก 12 แบบที่มีอยู่ตอนนี้ และราคายังพยายามตรึงไว้ที่ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทเช่นเดิม ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการทับซ้อนกับซีคอนโฮม กลยุทธ์ในด้านอื่นๆ นั้นคงจะไม่ต่างจากซีคอน โฮมมากนัก คือการเน้นที่การบริการและความต้องการของลูกค้า การสื่อสารจะมีทั้ง Above the line และ below the line อย่างละ 50:50 ซึ่ง below the line จะมีจัดกิจกรรม เพื่อเข้าถึงตัวลูกค้า เพื่อสร้าง Brand Experience ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการจดจำ Brand นั่นเอง” นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กล่าวสรุป
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา 11 เดือนในปี 2550 ซีคอน โฮม สามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 260 หลัง รวมมูลค่า 700 ล้านบาท ซึ่งทะลุเป้าที่ประกาศไว้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 650 ล้านบาท เช่นเดียวกับ คอมแพคโฮม ที่สามารถกวาดยอดขายได้ตามเป้าหลังเปิดตัวได้ 5 เดือน รวม 80 ยูนิต รวมมูลค่า 110 ล้านบาท