กรุงเทพฯ--12 ธ.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ระยะยาวที่ระดับ ‘AA-(tha)’ (AA ลบ (tha)) และระยะสั้นที่ระดับ ‘F1+(tha)’ ในขณะเดียวกันฟิทช์คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทซึ่งมีมูลค่ารวม 5.5 พันล้านบาทที่ระดับ ‘AA-(tha)’ (AA ลบ (tha)) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
อันดับเครดิตสะท้อนถึง ความสำคัญของบริษัทต่อ บมจ. ปตท. หรือ ปตท. จากการที่บริษัทเป็นโรงกลั่นหลักของ ปตท. ในการดำเนินธุรกิจการกลั่นน้ำมัน และการดำเนินธุรกิจในลักษณะพึ่งพากันระหว่างบริษัทกับ ปตท. นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงการที่บริษัทดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ ซึ่งมีกระบวนการกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปชนิดที่มีมูลค่าสูงได้ในสัดส่วนที่สูง ในขณะที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ TOP สามารถรักษาความได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การที่บริษัทเข้าไปลงทุนเพิ่มในธุรกิจผลิตสารพาราไซลีนและผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน เป็นการเพิ่มระดับการผลิตแบบครบวงจรซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์น้ำมันและลดความผันผวนของรายได้จากค่าการกลั่นน้ำมัน ในขณะที่การดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะช่วยลดความผันผวนของรายได้จากธุรกิจการกลั่นน้ำมันได้บางส่วน แม้ว่าปัจจุบันกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะมีสัดส่วนที่ยังน้อยอยู่ก็ตาม
ฟิทช์กล่าวต่ออีกว่าอันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท ตลอดจนนโยบายทางการเงินที่จะรักษาสัดส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับต่ำ โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2550 หนี้สินรวมและหนี้สินสุทธิของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 2.97 หมื่นล้านบาทและ 2.16 หมื่นล้านบาทตามลำดับ และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงานย้อนหลัง 12 เดือน (Last-Twelve-Month Funds from Operations Adjusted Net Leverage) และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่าย้อนหลัง 12 เดือน (Net Adjusted Debt to Last-Twelve-Month EBITDAR) แข็งแกร่งขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 0.9 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ในขณะที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงานต่อค่าใช้จ่ายคงที่ (FFO/Fixed Charges) อยู่ที่ 14.0 เท่าและอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่าย (EBITDA to Gross Interest) อยู่ที่ 16.1 เท่า ฟิทช์คาดว่า TOP น่าจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (Net Debt to EBITDA) ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1 เท่าได้
ความแข็งแกร่งของอันดับเครดิตของบริษัท ถูกลดทอนลงจากปัจจัยเสี่ยงที่บริษัทต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงของราคาน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันสำเร็จรูป ค่าการกลั่น ตลอดจนราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในตลาดโลก และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นการจัดหาน้ำมันดิบเนื่องจากบริษัทยังต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบในสัดส่วนที่สูง นอกจากนี้อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงความเสี่ยงจากการที่บริษัทมีฐานลูกค้าที่ไม่กระจายตัวมากพอ และมีฐานการผลิตแห่งเดียว ประกอบกับบริษัทพึ่งพาตลาดเพียงตลาดเดียวเนื่องจากบริษัทขายผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ในตลาดในประเทศ อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากการที่บริษัทมีฐานลูกค้าที่ไม่กระจายตัวมากพอได้ถูกลดทอนลงบางส่วนจากการที่ ปตท. ซึ่งเป็นผู้รับซื้อผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปรายใหญ่ เป็นผู้ดำเนินธุรกิจรายใหญ่ในการจัดจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทย และมีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่งที่ระดับ ‘AA+(tha)’
แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ สะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทเนื่องจากความได้เปรียบในด้านต้น ทุนการผลิต และนโยบายทางการเงินของบริษัทที่จะยังคงรักษาสัดส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจาก TOP ต้องเผชิญกับวัฎจักรของธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีที่มีความผันผวนสูง ดังนั้นถ้าบริษัทไม่สามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับต่ำได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือมีอัตราส่วน Net Debt to EBITDA ที่สูงกว่า 1 เท่าอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ความคล่องตัวทางการเงินของบริษัทลดลง และอาจมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้
TOP ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันแบบเดี่ยว (Single-Site) และมีระบบการกลั่นแบบคอมเพล็กซ์รายใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมีกำลังการกลั่นน้ำมันประมาณ 225,000 บาร์เรลต่อวัน คิดเป็นประมาณร้อยละ 22 ของกำลังการกลั่นน้ำมันทั้งหมดในประเทศ ปัจจุบันปตท. ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท โดยถือหุ้นอยู่ร้อยละ 49.54