กรุงเทพฯ--16 ก.ค.--
เคมีโก้แถลงข่าวครั้งแรกในรอบ 5 ปี ฉลองครบรอบ 25 ปี ทุ่มงบ 350 ล้านบาท เปิดตัวศูนย์สุขภาพและความงามระดับสากลแห่งที่ 2 ของประเทศไทย เผยทั่วโลกมี 9 สาขา เตรียมลุยสาขาประเทศในแถบทวีปแอฟริกา หวังดันรายได้เติบโต 15%
นายประสพ พลากรกิตติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคมีโก้ อินเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ผู้นำเข้าและจำหน่ายวัตถุดิบในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม เปิดเผยว่า ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดรวมธุรกิจความงาม มีการเติบโต อย่างต่อเนื่องประมาณ 9-10% ทุกปี และภาพรวมของบริษัทก็มีการเติบโตขึ้นอย่างดี จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทตัดสินใจลงทุนเพิ่ม เพราะเล็งเห็นศักยภาพของธุรกิจความงามในประเทศไทย จึงมีการใช้เม็ดเงินลงทุนกว่า 350 ล้านบาท เปิดศูนย์สุขภาพและความงามระดับสากลแห่งที่ 2 รองรับธุรกิจเครื่องสำอางโดยเฉพาะ จากเดิมอาคารแรกจะเน้นกลุ่มอาหารเสริมเป็นหลัก
ทั้งนี้กลุ่มบริษัทเคมีโก้เป็นผู้แทนจำหน่ายชั้นนำ ในการจำหน่ายวัตถุดิบที่มีคุณภาพดี และเชื่อถือได้จากทั่วโลกครอบคลุมในกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งประกอบธุรกิจด้านเครื่องสำอาง ผลิต ภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์อาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยมุ่งเน้นและคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ จากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
"บริษัทเรามุ่งเน้นในวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้เรายังเน้นการจัดส่งที่รวดเร็ว พร้อมทั้งการให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิต พนักงานขาย และพนักงานห้องปฏิบัติการ" นายประสพ กล่าว
นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยใช้จุดแข็งของ กลุ่มบริษัทเคมีโก้ คือ ศูนย์ปฏิบัติการวิจัย และพัฒนาสูตร Chemico Asia Health and Beauty Center (CAHB) เพื่อช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R &D) ของลูกค้าทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยมีแผนขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น ได้แก่ ประเทศในแถบทวีปแอฟริกา ซึ่งปีนี้บริษัทมีการขยายสาขาเพิ่มที่เมืองนิวเดลี ประ เทศอินเดีย จากเดิมที่มีสาขาอยู่ในมุมไบ
ขณะนี้บริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศ ไทย และอีก 9 สาขา ใน 8 ประเทศ ซึ่งสามารถบริการครอบ คลุมในทุกภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นสาขา ในฟิลิปปินส์, เวียดนาม, อินโดนี เซีย, มาเลเซีย, เมียนมา, อินเดีย, รัสเซีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีพนักงานทั้งหมดมากกว่า 400 คน ในจำนวนนี้กว่า 170 คน มีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ตามปีนี้บริษัทจะเน้นตลาดออนไลน์มากขึ้นทั้ง E- commerce , social media และให้บริการลูกค้าขนาดย่อม เช่น SME โดยบริษัทอยากทำ ให้เข้าถึงลูกค้าระดับย่อยมากกว่าเดิม โดยเฉพาะการเป็นที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาสินค้าดีมีคุณภาพออกสู่ตลาด คาดว่าผลประกอบการปีนี้จะเติบโตขึ้น 10-15% หรือคิดเป็นรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท นับว่าเติบโตใกล้เคียงกับตลาด รวมเคมีภัณฑ์ที่มีการเติบโตขึ้นเฉลี่ย ปีละ 9-10%.
ปัจจุบันตลาดเคมีภัณฑ์เพื่อผลิตเครื่องสำอางในไทยมีมูลค่าตลาดรวม 6 หมื่นล้านบาท บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 20% แนวโน้มมีอัตราการเติบโตสูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก ที่มาปรึกษาและซื้อเคมีในการผลิตเครื่องสำอาง แบ่งสัดส่วนลูกค้าเป็นกลุ่มเครื่องสำอางประมาณ 80% ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารเสริม