กรุงเทพฯ--16 ก.ค.--ซีเคร็ท คอมมูนิเคชั่นส์
จากการที่กรมบัญชีกลางออกหลักเกณฑ์เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา เรื่องการเบิกจ่ายตรงของผู้ป่วยโรคมะเร็งสิทธิสวัสดิการข้าราชการ สำหรับยาเพียง 9 รายการ ที่จำกัดเฉพาะรักษามะเร็งบางอย่างเท่านั้น และผู้มีสิทธิที่จำเป็นต้องใช้ยาอื่นนอกเหนือ 9 รายการนี้ ต้องสำรองจ่าย แล้วไปเบิกคืนทีหลัง หรือ ถ้าเป็นยาใหม่ไม่สามารถเบิกได้เลย ซึ่งคำสั่งดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมากกับข้าราชการทั่วประเทศ
ความคืบหน้าล่าสุด พลตรีหญิง พูลศรี เปาวรัตน์ นายกสมาคมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ กล่าวว่า ภายหลังคำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้มา 3-4 เดือน ขณะนี้ข้าราชการที่ป่วยเป็นมะเร็งได้รับผลกระทบกันเป็นอย่างมาก บางรายถูกเปลี่ยนยาจนเกิดผลข้างเคียงจากยาที่เปลี่ยนกับตัวเองมากมาย บางรายประสบปัญหาด้านการเงินเพราะต้องสำรองเงินไปก่อน แล้วยังไม่สามารถเบิกได้ ส่วนบางรายที่ยังไม่ได้ป่วยก็วิตกกังวลอย่างหนักว่า จะทำอย่างไรต่อไป หากตนเองหรือคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคมะเร็ง เพราะสิทธิที่เคยได้รับถูกลิดรอนไปแล้ว เนื่องจากข้าราชการเงินเดือนน้อย ต้องมีภาระในการดูแลครอบครัว และก็ไม่มีใครอยากป่วยเป็นโรคมะเร็ง
พลตรีหญิง พูลศรี กล่าวต่อว่า อยากวอนให้รัฐบาลและกรมบัญชีกลาง รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยุติคำสั่งดังกล่าวโดยเร็วและเร่งแก้ไขปัญหา เพราะมีผลกระทบอย่างแสนสาหัส ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ผู้ให้การรักษา หรือผู้ป่วย ทุกคนได้รับผลกระทบกันทั่วหน้า และที่สำคัญไม่มีประสิทธิภาพในการรักษา แทนที่จะได้ช่วยผู้ป่วยกลับกลายเป็นทำให้ผู้ป่วยตายเร็วขึ้น โดยส่วนตัวเข้าใจว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมะเร็งค่อนข้างสูง แต่การทำเช่นนี้ ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง สุดท้ายขอเสนอให้รัฐบาลตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผู้ป่วยมะเร็ง เหมือนกับกองทุนโรคเอดส์ เนื่องจากปัจจุบันโรคมะเร็ง เป็นสาเหตุการตายสูงที่สุดในประเทศไทย คนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งสูงขึ้นทุกปี เพราะมีสภาวะความเสี่ยงในทุกๆ ด้าน และยากที่จะป้องกันได้ ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะหันหน้าเข้าหากัน หาทางออกที่ดีที่สุด เพื่อประชาชนทั่วประเทศ ไม่ใช่เฉพาะแค่ข้าราชการ
ศาตราจารย์นายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขา กรรมการแพทยสภา กล่าวว่า สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น รัฐบาลควรเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมพูดคุย เพื่อหาทางออกในการแก้ไขปัญหา เพราะการออกคำสั่งแบบนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะยารักษามะเร็งที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ราคาค่อนข้างสูง หากต้องการให้คนไข้เข้าถึงยานวัตกรรมใหม่ๆ ตามที่จำเป็น รัฐบาลควรเรียก กรมบัญชีกลาง ตัวแทนข้าราชการ และบริษัทยามาร่วมหารือ หาทางออกร่วมกัน โดยรัฐบาลต้องชี้แจงอย่างชัดเจนว่าในแต่ละปีมีงบประมาณเท่าไหร่ ส่วนที่เกินงบประมาณ ก็ทำความตกลงกับบริษัทยาที่จะช่วยลดภาระการเงินของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนได้รับสิ่งที่ดีที่สุด จึงอยากฝากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ซึ่งในอนาคตก็สามารถขยายให้ครอบคลุมบัตรทอง และประกันสังคมด้วย
นอกจากนี้ นายแพทย์เจตน์ ศิรธรานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุขวุฒิสภา ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น หากมองในภาพรวมแล้วทุกๆ ฝ่ายล้วนได้รับผลกระทบแตกต่างกันออกไป กรมบัญชีกลางต้องออกคำสั่งมาเช่นนี้ คงเป็นเพราะมีการใช้สิทธิเบิกจ่ายยารักษามะเร็งค่อนข้างเยอะ ซึ่งต้องยอมรับว่า ค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งค่อนข้างสูง จึงทำให้งบประมาณของรัฐบาลไม่เพียงพอ แต่การแก้ปัญหาของเรื่องนี้ ทุกฝ่ายต้องมาหาทางออกร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาล กรมบัญชีกลาง ตัวแทนข้าราชการ และบริษัทยา หากเราสามารถลดภาระงบประมาณที่ประเทศต้องแบกรับได้ ก็จะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย ประชาชนก็จะเข้าถึงการรักษาได้
ด้าน นางกิ่ง ศรีขำ ผู้ป่วยมระเร็งตับระยะที่ 4 ซี่งเคยได้รับการรักษาด้วยยาใหม่ที่ยั้งยั้งเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตั้งแต่ที่กรมบัญชีกลาง ตัดยาที่เคยได้รับจากบัญชีการเบิกจ่าย ทำให้ได้รับผลกระทบอย่างมาก ต้องขายที่นา เพื่อนำเงินมาจ่ายค่ารักษาตอนนี้ต้องหยุดการรักษามาเกือบ 1 เดือน เพราะเงินที่สำรองเงินจ่ายไปก่อน ทำเรื่องไป 3 เดือนแล้วยังไม่ได้เงินคืนเลย บอกตรงๆ ว่าสิ้นหวังมาก หมดหนทางในการรักษา ได้แต่นั่งรอวันตายพร้อมหนี้ที่กู้มารักษาตัว มีสุดท้ายอยากฝากถึงทุกๆ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง อยากให้ช่วยทบทวนคำสั่งใหม่ เห็นใจข้าราชการตาดำๆ และครอบครัว เพราะเราลำบากจริงๆ ลำพังจะใช้ชีวิตอยู่ยังยาก แถมยังต้องมาเจ็บป่วย หากเลือกได้คงไม่มีใครอยากเจ็บป่วย ทุกคนก็อยากมีชีวิตที่ดี อยู่กับครอบครัว ลูกหลานจนแก่เฒ่า