กรุงเทพฯ--18 ก.ค.--วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส
สภาวะตลาดวันที่ 10 กรกฎาคม 2561 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,253.90-1,260.31 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 19,750 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาปรับตัวลดลง 50 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 19,800 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFQ18 อยู่ที่ 19,840 บาท โดยราคาปรับตัวลดลง 120 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 19,960 บาท
(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้น ณ เวลา 15.46 น. ของวันที่ 10/07/61)
แนวโน้มวันที่ 11 กรกฎาคม 2561
เกิดความวิตกเกี่ยวกับการถอนตัวของอังกฤษโดยสิ้นเชิงจากสหภาพยุโรป (hard Brexit) เมื่อนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ และนายเดวิด เดวิส ประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีฝ่ายกิจการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ของอังกฤษ เพื่อประท้วงแผนของนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ของอังกฤษ ในการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิดกับสหภาพยุโรป(EU) ซึ่งทำให้แผนเบร็กซิทของผู้นำอังกฤษได้รับผลกระทบ ปัจจัยดังกล่าวกดดันสกุลเงินปอนด์ให้อ่อนค่า จึงหนุนดัชนีดอลลาร์ให้กลับมาแข็งค่าขึ้น ประกอบกับวิกฤติการเมืองอย่างเต็มรูปแบบอาจจะลดคาดการณ์ต่อแนวโน้มที่ธนาคารกลางอังกฤษจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมกำหนดนโยบายครั้งหน้าในวันที่ 2 ส.ค. 2561 อย่างไรก็ตามรายงานเศรษฐกิจล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) บ่งชี้ว่า แผนปฏิรูประบบภาษีสหรัฐโดยการลดภาษีมูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้"ในเชิงบวกมากเกินไป" ซึ่งคาดว่าจะหนุนการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ในปีนี้ประมาณ 1.3% ที่คาดการณ์โดยสำนักงานงบประมาณสภาคองเกรสและนักวิเคราะห์รายอื่นๆ แต่รายงานล่าสุดจากเฟดระบุว่า "แรงหนุนที่แท้จริงมีแนวโน้มว่าจะน้อยกว่า 1%" ในขณะที่การศึกษาบางชิ้นชี้ว่าอาจจะหนุนเศรษฐกิจน้อยถึงระดับศูนย์ แนวโน้มดังกล่าวกดดันดัชนีดอลลาร์ให้เคลื่อนไหวใกล้จุดต่ำสุดของเดือนมิ.ย. จนหนุนราคาทองคำไว้ อย่างไรก็ตามแนะนำนักลงทุนติดตามตัวเลขและดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต(PPI)เดือนมิ.ย., ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI)เดือนมิ.ย. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ค. เพื่อสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐเพิ่มเติม ซึ่งวายแอลจียังคงมีมุมมองว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำจะเป็นไปในลักษณะ Sideway นักลงทุนที่ไม่อยากแบกรับความเสี่ยงมากจนเกินไปควรรอการเข้าซื้อเมื่อราคาทองคำอ่อนตัวลงมาในโซนแนวรับสำคัญ พร้อมติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่แกว่งตัวค่อนข้างมากในช่วงนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน
กลยุทธ์การลงทุน ทางวายแอลจีมีมุมมองว่า ราคาทองคำยังมีการเคลื่อนไหวในกรอบและคาดว่าราคาทองคำเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway โดยความผันผวนของราคาและการแกว่งตัวของราคาอาจลดลงจากช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนสามารถลงทุนระยะสั้น โดยเข้าซื้อหากราคาย่อตัวไม่หลุดแนวรับบริเวณ 1,248 หรือ 1,237 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยไม่แนะนำให้เข้าซื้อทั้งหมดบริเวณแนวรับใดแนวรับหนึ่ง ควรเหลือเงินทุนเพื่อซื้อเฉลี่ยหากราคาหลุดแนวรับแรก ซึ่งราคาอาจจะปรับตัวลงไปบริเวณแนวรับถัดไป และให้ขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นบริเวณแนวต้าน 1,266 หรือ 1,272 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากไม่สามารถผ่านไปได้อาจเห็นการย่อตัวของราคาทองคำอีกครั้ง เบื้องต้นวายแอลจียังมองว่าการลงทุนยังเน้นการลงทุนระยะสั้น เพราะแม้ว่าราคาทองคำจะดีดตัวขึ้นได้บ้าง ก็ยังคงมีแรงขายทองคำออกมาเช่นกัน ซึ่งนักลงทุนควรตั้งจุดตัดขาดทุนเพื่อควบคุมความเสี่ยง
ทองคำแท่ง (96.50%)
แนวรับ 1,248 (19,550บาท) 1,237 (19,350บาท) 1,222 (18,150บาท)
แนวต้าน 1,266 (19,850บาท) 1,272 (19,950บาท) 1,283 (20,150บาท)
GOLD FUTURES (GFQ18)
แนวรับ 1,248 (19,740บาท) 1,237 (19,560บาท) 1,222 (19,330บาท)
แนวต้าน 1,266 (20,020บาท) 1,272 (20,120บาท) 1,283 (20,290บาท)
หากต้องการทราบทิศทางราคาทองคำและแนวทางลงทุนทองคำ ขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทีมที่ปรึกษาการลงทุนด้านโกล์ดฟิวเจอร์ส โทร.02-687-9999