กรุงเทพฯ--20 ก.ค.--ธนาคารกรุงเทพ
เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ปี 2561 ยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดี รวมถึงเศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจนมากขึ้นจากทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ด้านการบริโภคของภาคเอกชนขยายตัวดีขึ้นจากเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่อเนื่อง โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากครัวเรือนนอกภาคเกษตรโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงที่รายได้ขยายตัวดีต่อเนื่อง ส่วนการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นจากภาคธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของภาคการส่งออก และเริ่มมีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต กอปรกับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และโครงการ Eastern Economic Corridor ที่มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและส่งเสริมบรรยากาศการลงทุน อีกทั้งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกหลายด้าน เช่น ผลกระทบจากการตอบโต้ทางการค้าที่รุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และประเทศเศรษฐกิจสำคัญ และความผันผวนในตลาดการเงินตามการเคลื่อนไหวของดอกเบี้ยและค่าเงิน
จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังกล่าวธนาคารจึงยังคงแนวทางการบริหารฐานะการเงินด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ควบคู่กับการรักษาสภาพคล่องและเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่สามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตและความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้ธนาคารมีเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน
สำหรับไตรมาส 2 ปี 2561 ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารจำนวน 9,194 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 จากไตรมาส 2 ปี 2560 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ จำนวน 17,573 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 2.33 สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 13,667 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.1 สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ กำไรสุทธิจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ซึ่งส่วนใหญ่จากค่าธรรมเนียมจากบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวม สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 13,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ร้อยละ 42.8
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,065,487 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 จากสิ้นปี 2560 จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ และสินเชื่อกิจการต่างประเทศ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ขณะที่เงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารมีจำนวน 147,164 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่เพียงพอรองรับความไม่แน่นอนและกฎเกณฑ์ใหม่ที่จะเกิดขึ้น ตามหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวัง
ด้านเงินกองทุน หากนับกำไรสุทธิสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 รวมเข้าเป็นเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยจะอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 18.0 ร้อยละ 16.5 และร้อยละ 16.5 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด สำหรับส่วนของเจ้าของส่วนที่เป็นของธนาคาร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 มีจำนวน 399,850 ล้านบาท มูลค่าตามบัญชีเท่ากับ 209.47 บาทต่อหุ้น