กรุงเทพฯ--17 ธ.ค.--ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
บริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทย ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทียูเอฟ ได้เข้าลงทุนในบริษัท ยู่เฉียงแคนฟู้ด จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลบรรจุกระป๋องในประเทศเวียดนาม โดยใช้เงินลงทุนกว่า 110 ล้านบาท นับเป็นการเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งของธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารทะเลให้กับกลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยน
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ เปิดเผยว่า “ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้พิจารณามีมติเห็นชอบถึงการได้มาซึ่งสินทรัพย์อันเกิดจากการลงทุนของบริษัทสงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) เพราะจะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อทั้งทียูเอฟ และสงขลาแคนนิ่ง ทั้งนี้บริษัท สงขลาแคนนิ่ง จะเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีสัดส่วนการถือครองหุ้นสูงถึง 51% ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและวางรากฐานการผลิตให้กับกลุ่มไทยยูเนี่ยน สำหรับการเข้าลงทุนนี้ได้ใช้เงินลงทุนกว่า 110 ล้านบาท โดยซื้อได้ในราคาต้นทุนเดิม (Book Value) นับว่าเป็นราคาซื้อที่เหมาะสมกับโอกาสและผลประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับในอนาคต
สำหรับบริษัท ยู่เฉียงแคนฟู้ด จำกัดที่สงขลาแคนนิ่งเข้าไปลงทุนนั้น เป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลบรรจุกระป๋องชั้นนำในประเทศเวียดนาม ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดลองอัน มีจำนวนพนักงานกว่า 1,000 คน และมีห้องเย็นที่มีความจุถึง 400 ตัน สินค้าหลักจะประกอบด้วย ปู กุ้ง และปลาทูน่า โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญได้แก่ สหรัฐอเมริกา/แคนาดา สหภาพยุโรป และเอเชีย ในส่วนของสินค้าปลาทูน่านั้นที่ผ่านมายังมีการผลิตในสัดส่วนที่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับสินค้าประเภทปู และกุ้ง แต่อย่างไรก็ดีในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตในส่วนของปลาทูน่าเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากมองว่ามีแนวโน้มที่ดี และยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการผลิตให้รองรับกับการเติบโตของกลุ่มบริษัทได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้คาดว่ายอดขายในส่วนของปลาทูน่าจะมีอัตราที่เพิ่มขึ้น 47% ในปี 2551 และ 49% ในปี 2552”
นอกจากนี้ นายธีรพงศ์ ยังชี้แจงถึง วัตถุประสงค์ของการเข้าลงทุนก็เพื่อขยายฐานการผลิตเพิ่มเติมให้กับกลุ่มบริษัท นอกเหนือจากฐานการผลิตในประเทศไทย สำหรับในเรื่องของค่าแรง และค่าเงินก็นับเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะส่งผลดีกับบริษัทในด้านของต้นทุนการผลิต เพราะประเทศเวียดนามมีค่าแรงที่ถูกกว่าประเทศไทย รวมถึงความมีเสถียรภาพของค่าเงินสกุลด็องของเวียดนามกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับค่าเงินบาท ที่ผ่านมาค่าเงินสกุลด็องมีอัตราการเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 1% นอกจากนี้ในเรื่องของข้อตกลงทางการค้านั้น ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างเวียดนามและสหรัฐอเมริกาก็กำลังดีขึ้น และเวียดนามยังมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับสหภาพยุโรป ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มบริษัทให้มีโอกาสขยายธุรกิจเข้าไปในตลาดสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปได้มากขึ้น”
อย่างไรก็ดี นายธีรพงศ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “การที่ไปลงทุนในประเทศเวียดนาม ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีฐานการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่งจากที่มีอยู่แล้ว 3 แห่งคือ ประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตแห่งใหญ่ ประเทศอินโดนีเซีย และอเมริกัน ซามัวร์ ซึ่งช่วยเพิ่มความหลายหลากในฐานการผลิต และสร้างศักยภาพความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจให้กับกลุ่มบริษัท ประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่น่าสนใจมากในการลงทุน และการที่บริษัทเข้าไปลงทุนในครั้งนี้เชื่อว่าส่งผลดีต่อการขยายฐานการผลิตของเราต่อไปในอนาคต”
“สำหรับประเทศเวียดนามนั้น ในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และสูงมาก รวมถึงการที่เวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) ทำให้ได้รับสิทธิพิเศษไม่ถูกจำกัดโควตาส่งออกสินค้าเหมือนอย่างในอดีต ประกอบกับสภาพภูมิประเทศยังเหมาะแก่การทำอุตสาหกรรมอาหารทะเล เนื่องจากมีบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าไทย นอกจากนี้ยังมีประชากรในวัยทำงานมากถึง 45 ล้านคนจากจำนวนประชากรทั้งหมด 85 ล้านคน และประชากรกว่า 90% มีการศึกษาสูง สามารถอ่านออกเขียนได้ มีความอดทนและขยัน อีกทั้งยังมีค่าแรงที่ต่ำกว่าประเทศไทย ดังนั้นการเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามทำให้บริษัทคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนกลับมาในรูปของผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ” นายธีรพงศ์ กล่าวสรุป
ฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
โทร: 02-2980027 ต่อ 675-678
โทรสาร: 02-2980024 ต่อ 679
อีเมล์: tufinbox@thaiunion.co.th