กรุงเทพฯ--2 ส.ค.--เครือเบทาโกร
เอสเพียว (S-Pure) ผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพระดับพรีเมี่ยม โดยเครือเบทาโกร ผ่านการรับรองมาตรฐานการเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะทั้งกระบวนการผลิต (RWA) ครบทุกผลิตภัณฑ์เป็นรายแรกของโลก จาก NSF International องค์กรด้านความปลอดภัยและสาธารณสุขระดับโลก สอดรับกับนโยบายของกรมปศุสัตว์ โครงการ "การเลี้ยงสัตว์ปลอดการใช้ยาปฏิชีวนะในระบบการผลิตสินค้าปศุสัตว์" ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ
นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์มีนโยบายในการดำเนินโครงการ "การเลี้ยงสัตว์ปลอดการใช้ยาปฏิชีวนะในระบบการผลิตสินค้าปศุสัตว์" เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่เลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งสอดคล้องตามเป้าประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องการให้ปริมาณการใช้ยาต้านจุลชีพสำหรับสัตว์ลดลง ร้อยละ 30 ภายในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2560-2564) โดยเครือเบทาโกร เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่เข้าร่วมในส่วนของฟาร์มสุกรและอยู่ในระหว่างการขอรับรองตามขั้นตอนในโครงการ ดังนั้น การที่ภาคเอกชนมีความมุ่งมั่นและตั้งใจผลิตสินค้า เนื้อหมู เนื้อไก่ และไข่ไก่ โดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะและได้รับการรับรองมาตรฐานการเลี้ยงทั้งกระบวนการผลิตครบทุกผลิตภัณฑ์ จากองค์กรซึ่งทำหน้าที่ออกมาตรฐานการรับรองที่ได้รับความเชื่อถือในระดับโลก ถือเป็นการพัฒนาคุณภาพและส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารไทยให้มีศักยภาพในเวทีการแข่งขันโลก ที่สำคัญยังสร้างความเชื่อมั่นความปลอดภัย และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
ด้าน นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร กล่าวว่า เครือเบทาโกร ยินดีให้ความร่วมมือกับภาครัฐโดยเข้าร่วมโครงการ "การเลี้ยงสัตว์ปลอดการใช้ยาปฏิชีวนะในระบบการผลิตสินค้าปศุสัตว์" ของกรมปศุสัตว์ ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจมากว่า 50 ปี เราให้ความสำคัญในนโยบายความปลอดภัยด้านอาหาร (Food Safety) และคุณภาพ (Food Quality) อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพระดับพรีเมี่ยม แบรนด์เอสเพียว (S-Pure) ดำเนินการตามมาตรฐานการเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะอย่างครบวงจรมามากกว่า 10 ปี เป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและในระดับสากล เรื่องความใส่ใจในคุณภาพ ความสะอาด ตั้งแต่ฟาร์มต้นทางจนถึงมือผู้บริโภค รวมถึงรสชาติที่อร่อย โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหาร มีการตรวจสอบด้านความปลอดภัย สารตกค้างอย่างเข้มงวด
สำหรับผลิตภัณฑ์เอสเพียว (S-Pure) ประกอบด้วย เนื้อหมู เนื้อไก่ และไข่ไก่สด ที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถันด้วย S-Pure Process ตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดี เลี้ยงโดยวิธีธรรมชาติ ในโรงเรือนปิด อาหารสัตว์มีโปรตีนจากธัญพืช ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่ใช้ฮอร์โมน ไม่ใช้สารเร่งการเจริญเติบโต ดูแลใกล้ชิดโดยสัตวแพทย์ ผ่านกระบวนการแปรรูปที่ได้มาตรฐาน และควบคุมอุณหภูมิในการจัดส่งด้วยความเย็น 0-4 องศาจนถึงจุดจำหน่าย ภายใต้การควบคุมด้วยเทคโนโลยีทันสมัย มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Betagro e-Traceability) อย่างเต็มรูปแบบ
นอกจากการเข้าร่วมโครงการฯ ของกรมปศุสัตว์ ซึ่งอยู่ในระหว่างกระบวนการขอรับรองนั้น นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ปีพ.ศ.2561 นี้ NSF International ประกาศรับรอง "Raised Without Antibiotics" (RWA) ให้กับผลิตภัณฑ์ เนื้อหมู และ ไข่ไก่ เอสเพียว (S-Pure) หลังจากที่เนื้อไก่เอสเพียว (S-Pure) ผ่านการรับรองตั้งแต่ ปี พ.ศ.2559 โดยถือเป็นรายแรกของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะทั้งกระบวนการผลิตครบทุกกผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ เบทาโกร ยังมุ่งมั่นพัฒนาผลิตอาหารที่มีคุณภาพและความปลอดภัยที่เหนือกว่า เพื่อผู้บริโภคมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
Mr.Peter Bracher กรรมการผู้จัดการ NSF Asia Pacific Co.,Ltd. ผู้แทนจาก NSF International กล่าวตอนท้ายว่า NSF International เป็นองค์กรด้านความปลอดภัยและสาธารณสุข ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.2487 มีภารกิจในการปกป้อง ดูแล ด้านสุขภาพและความปลอดภัยของประชากรโลก ได้รับการยอมรับในระดับสากล ในฐานะผู้กำหนดมาตรฐาน ตรวจสอบ และออกใบรับรองให้แก่อุตสาหกรรมอาหาร น้ำดื่ม ผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภค จากการสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า ผู้บริโภคปัจจุบันมีความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ปราศจากยาปฏิชีวนะ NSF รู้สึกชื่นชมเครือเบทาโกร ผู้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารครบวงจรของประเทศไทย ที่เป็นผู้นำด้านการผลิตสินค้าอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ที่ผ่านกระบวนเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะมามากกว่า 10 ปี มีความทุ่มเทอย่างตั้งใจ และปฏิบัติตามเงื่อนไขโปรแกรมกระบวนการตรวจสอบตามมาตรฐานของ NSF International สามารถผ่านการรับรอง "Raised Without Antibiotics" (RWA) ทั้งกระบวนการผลิต ครบทุกผลิตภัณฑ์ของเอสเพียว (S-Pure) ทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ เป็นรายแรกของโลก ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ผู้บริโภคมั่นใจในการบริโภคได้อย่างปลอดภัย