กรุงเทพฯ--6 ส.ค.--กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานอิทธิพลของพายุโซนร้อน "เซินติญ" ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม 2561 ทำให้เกิดสถานการณ์ภัยใน 27 จังหวัด สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 18 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยใน 9 จังหวัด ได้แก่ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี บึงกาฬ สกลนคร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ แลละยโสธร ซึ่ง ปภ. ได้ร่วมกับหน่วยทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงแจกจ่ายถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นแล้ว
นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า อิทธิพลของพายุโซนร้อน "เซินติญ" ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม 2561 ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่มใน 27 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ตาก เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พิจิตร นครสวรรค์ ตราด แพร่ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ระนอง เพชรบุรี ประจบคีรีขันธ์ ลำปาง น่าน อุตรดิตถ์ อำนาจเจริญ พะเยา เชียงราย กาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี บึงกาฬ สกลนคร ร้อยเอ็ด และยโสธร รวม 85 อำเภอ 302 ตำบล 1,936 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 37,659 คน 99,456 ครัวเรือน สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 18 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 9 จังหวัด รวม 51 อำเภอ 246 ตำบล 1,741 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 34,012 ครัวเรือน 89,068 คน ได้แก่ นครพนม เกิดฝนตกหนักและน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ 12 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนครพนม อำเภอเรณูนคร อำเภอปลาปาก อำเภอท่าอุเทน อำเภอโพนสวรรค์ อำเภอธาตุพนม อำเภอบ้านแพง อำเภอนาแก อำเภอวังยาง อำเภอศรีสงคราม อำเภอนาหว้า และอำเภอนาทม รวม 90 ตำบล 878 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 12,256 ครัวเรือน 26,898 คน บ้านเรือน 29 หลัง พื้นที่การเกษตรคาดว่าได้รับความเสียหาย 179,704 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำเพิ่มขึ้น มุกดาหาร เกิดฝนตกหนักและน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอดงหลวง อำเภอเมืองมุกดาหาร อำเภอนิคมคำสร้อย อำเภอดอนตาล อำเภอหว้านใหญ่ อำเภอหนองสูง และอำเภอคำชะอี รวม 52 ตำบล 406 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 11,443 ครัวเรือน 38,355 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าได้รับความเสียหาย 28,582 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำเพิ่มขึ้น ยังคงต้องเฝ้าระวังพื้นที่เทศบาลเมืองมุกดาหาร บริเวณตลาดอินโดจีน อำนาจเจริญ เกิดฝนตกหนัก ทำให้น้ำในลำน้ำโขงล้นตลิ่งในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองอำนาจเจริญ อำเภอเสนางคนิคม อำเภอหัวตะพาน และอำเภอชานุมาน รวม 8 ตำบล 29 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 533 ครัวเรือน 1,922 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าได้รับความเสียหาย 5,548 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำเพิ่มขึ้น อุบลราชธานี เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำในแม่น้ำโขงล้นตลิ่งในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเขมราฐ อำเภอโพธิ์ไทร อำเภอโขงเจียม อำเภอนาตาล อำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอเขื่องใน รวม 14 ตำบล 86 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,627ครัวเรือน 4,163 คน อพยพ 43 ครัวเรือน 215 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะได้รับผลกระทบ 4,835 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำลดลง บึงกาฬ เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำในแม่น้ำโขงล้นตลิ่งในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองบึงกาฬ อำเภอบุ่งคล้า อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย และอำเภอศรีวิไล รวม 16 ตำบล 79 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 309 ครัวเรือน 2,702 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าได้รับความเสียหาย 2,706 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำเพิ่มขึ้น สกลนคร เกิดฝนตกหนัก ทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอโพนนาแก้ว อำเภอเต่างอย อำเภอนิคมน้ำอูน อำเภอเมืองสกลนคร อำเภอโคกศรีสุพรรณ และอำเภอพรรณานิคม รวม 9 ตำบล 10 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 104 ครัวเรือน 300 คน นาข้าวเสียหาย 240 ไร่ ปัจจุบันระดับน้ำเพิ่มขึ้น ร้อยเอ็ด เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเสลภูมิ และอำเภอโพนทอง รวม 15 ตำบล 80 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 3,971 ครัวเรือน 9,534 คน ปัจจุบันระดับน้ำลดลง กาฬสินธุ์ เกิดฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ อำเภอกมลาไสย และอำเภอฆ้องชัย รวม 18 ตำบล 68 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 877 ครัวเรือน 1,646 คน ปัจจุบันระดับน้ำลดลง ยโสธร เกิดฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองยโสธร อำเภอไทยเจริญ อำเภอป่าติ้ว อำเภอกุดชุม และอำเภอคำเขื่อนแก้ว รวม 24 ตำบล 105 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 2,892 ครัวเรือน 3,548 คน ปัจจุบันระดับน้ำเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงแจกจ่ายถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นแล้ว ท้ายนี้ หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป