กรุงเทพฯ--6 ส.ค.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เตรียมผนึกกำลังเอกชน จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน "นิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง" ในจังหวัดปราจีนบุรี บนพื้นที่ประมาณ 1,700 ไร่ ภายใต้การลงทุน 1,710.52 ล้านบาท เพื่อรองรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร อุตสาหกรรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ และอุตสาหกรรมการเบา โดยจุดเด่นของการโครงการดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี พร้อมด้วยเขตชายแดนไทย-กัมพูชา ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ในการพัฒนาโครงการดังกล่าวคาดว่าจะก่อให้เกิดการลงทุนมูลค่าเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 49,456 ล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 11,240 คน
นางสุวัฒนา กมลวัทนนิศา รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย (สายงานยุทธศาสตร์และพัฒนา) เปิดเผยว่า กนอ. ได้เตรียมจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในลักษณะร่วมดำเนินงานกับบริษัท บ่อทองอินดัสทรี เทคโนโลยี จำกัด ภายใต้ชื่อนิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง 33 ในอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรีภายใต้การลงทุน 1,710.52 ล้านบาท ซึ่งนิคมฯดังกล่าวจะถูกพัฒนาให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร อุตสาหกรรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ และอุตสาหกรรมการเบา เช่น เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมนำแนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Estate) ที่มีการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ปฏิบัติการตามกฎหมาย/มาตรฐานสากล อาทิ การจัดให้มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) รอบพื้นที่โครงการฯ การออกแบบระบบ Reclaimed Water System เพื่อนำน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาปรับปรุงคุณภาพน้ำและนำกลับไปใช้ในกระบวนการผลิตน้ำประปาในการผลิตอีกครั้ง รวมทั้งมีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมรับคนงานในพื้นที่เข้าทำงาน เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นมีงานทำและมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจชุมชน โดยรวมดีขึ้น
สำหรับทำเลที่ตั้งและลักษณะพื้นที่โครงการ ครอบคลุมพื้นที่จำนวน 1,746 ไร่ แบ่งเป็น พื้นที่ที่ก่อให้เกิดรายได้ 1,214 ไร่ พื้นที่ระบบสาธารณูปโภค 341 ไร่ พื้นที่สีเขียวและแนวกันชน 191 ไร่ สามารถเชื่อมโยงพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว และพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำของอาเซียนเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมและกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) พร้อมเป็นฐานการผลิตและการดึงดูดการลงทุน
นอกจากนี้ นิคมฯ ดังกล่าว ยังอยู่ใกล้ศูนย์กลางคมนาคมหลักของประเทศ พร้อมทั้งยังมีโครงสร้าง พื้นฐานต่างๆ ที่เอื้อต่อการประกอบอุตสาหกรรม ได้แก่ ท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา (ด่านปอยเปต) ประมาณ 87 กิโลเมตรมีระบบถนนที่สามารถเชื่อมโยงไปยังนิคมฯอื่นๆ ได้อย่างสะดวก เช่น นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค เขตอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี และสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ นอกจากนี้ ยังจัดเป็นนิคมฯ ที่ไม่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมจากข้อมูลน้ำท่วมซ้ำซากของกรมพัฒนาที่ดิน ในรอบ 10 ปี เนื่องจากพื้นที่โครงการเป็นพื้นที่ราบ ไม่มีความเสี่ยงต่อน้ำท่วมถึง และพื้นที่มีความลาดเอียงสามารถระบายน้ำได้ดี
นางสุวัฒนา กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง 33 จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อจังหวัดปราจีนบุรี ในการควบคุมดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับนโยบายของจังหวัดตามกฎหมายผังเมือง เพื่อไม่ให้เกิดการกระจัดกระจายของภาคอุตสาหกรรมและการกำกับดูแลการประกอบกิจการโรงงานให้มีการเติบโตในพื้นที่ที่ได้จัดเตรียมไว้ และสามารถดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการเพิ่มพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อรองรับการลงทุนด้านอุตสาหกรรม ทั้งนี้ คาดว่าจะก่อให้เกิดการลงทุนมูลค่าเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 49,456 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 11,240 คน และคาดว่าสำหรับในการพัฒนาพื้นที่ในเฟสแรกจะแล้วเสร็จภายใน 2 ปี และพร้อมรองรับการลงทุนต่อไป
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรายละเอียด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ถนนนิคมมักกะสัน กรุงเทพฯ โทร. 0 2253 0561 หรืออีเมล investment.1@ieat.mail.go.th