กรุงเทพฯ--7 ส.ค.--Med Agency
จากเหตุการณ์สองกรณี คือ วันที่ 2 สิงหาคม 2561 นายบี (นามสมมติ) อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระโดดตึกจากคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านถนนประดิพัทธ์ แขวงและเขตพญาไท ฆ่าตัวตายสำเร็จ และ ชายอายุประมาณ 26 ปี กระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่สะพานพระราม 8 เมื่อช่วงวันที่ 5 สิงหาคม 2561 นั้น
ล่าสุด www.medhubnews.com เว็บไซต์สุขภาพ สาธารณสุข การท่องเที่ยว วาไรตี้ และ เพจ sasook รายงานว่า นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า
กรมสุขภาพจิตได้ประมาณการว่าในปีหนึ่งๆ ในประเทศไทยจะมีผู้พยายามทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย ( Attempt suicide ) ประมาณร้อยละ 0.1 ของผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป หรือปีละประมาณ 53,000 คน
ในจำนวนนี้กระทำการสำเร็จประมาณ 4,000 คน อีกกว่า 40,000 คนที่พยายามทำร้ายตนเองแล้วไม่สำเร็จและมีโอกาสกลับไปทำร้ายตัวเองซ้ำใหม่สูงกว่าคนทั่วไป
คนที่พยายามฆ่าตัวตายจัดเป็นผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตรุนแรงประเภทหนึ่ง ยังไม่ใช่เป็นคนป่วย ต้องได้รับการช่วยเหลือแก้ไขที่ต้นเหตุ
อย่างไรก็ตามจากการรวบรวมข้อมูลของศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ รพ.จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต พบว่า ผู้ที่ทำร้ายตัวเองซ้ำมีโอกาสฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าผู้ที่ทำร้ายตัวเองครั้งแรก
โดยหากประเทศไทยสามารถป้องกันการทำร้ายตัวเองซ้ำได้อย่างครอบคลุม จะสามารถลดจำนวนผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จได้มากถึงปีละ 350-400 คน หรือคิดเป็น 0.5 ต่อแสนประชากร
กรมสุขภาพจิตจึงเน้นการป้องกันและเฝ้าระวังการทำร้ายตัวเองซ้ำ ในคนกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นมาตรการและตัวชี้วัดที่สำคัญของกระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบัน โดยตั้งเป้าภายในพ.ศ. 2564 จะลดอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จให้เหลือต่ำกว่า 6 ต่อประชากร 100,000 คน จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.35 ต่อประชากร 100,000 คน
นายแพทย์ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ และศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ในทางวิชาการถือว่า ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในการที่บุคคลใดบุคลหนึ่งจะทำร้ายตนเองคือผู้ที่มีประวัติทำร้ายตัวเองมาก่อน
ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ครอบครัว ญาติ รวมทั้งเพื่อนสนิทใกล้ชิดของผู้ที่มีประวัติดังกล่าว จะต้องคอยดูแลใกล้ชิด ช่วยประคับประคองจิตใจ หรือพาไปรับการรักษากับแพทย์ เช่นในรายที่มีความเครียดหรือมีอาการซึมเศร้า
หากรักษาที่ต้นเหตุได้ ซึ่งมีทั้งการใช้ยารักษาและกระบวนการให้การปรึกษาทางจิตวิทยา เพื่อเปลี่ยนความคิดและมุมมองเกี่ยวกับคุณค่าตัวเองใหม่ ก็จะช่วยได้
ประการสำคัญคือการสังเกตสัญญาณเตือนหรือสัญญาณผู้ที่มีความเสี่ยง ที่บ่งชี้ว่าอาจฆ่าตัวตาย ซึ่งมี 10 สัญญานดังนี้ 1. ประสบปัญหาชีวิต เช่นล้มละลาย เป็นหนี้ สูญเสียคนรักกะทันหัน พิการจากอุบัติเหตุ 2. มีพฤติกรรมเปลี่ยนหันมาใช้เหล้าหรือสารเสพติดผิดปกติ 3. มีประวัติคนในครอบครัวเคยฆ่าตัวตาย 4. แยกตัว เก็บตัว พูดจาน้อยลง 5. บ่นนอนไม่หลับเป็นเวลานาน 6. พูดด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล สีหน้าเศร้าหมอง 7.พูดหรือบ่นว่าอยากตาย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ซึ่งปัจจุบันมักจะระบายอารมณ์นี้ในโซเซียลมีเดียบ่อยๆ เช่นเฟสบุ๊ค อินสตาแกรมของตัวเอง 8. มีอารมณ์แปรปรวนผิดหูผิดตา เช่นจากเดิมเคยเศร้าเป็นสบายใจร่าเริงผิดปกติ 9.เคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน 10 .มีการวางแผนเตรียมฆ่าตัวตายไว้ล่วงหน้า เช่นจัดการทรัพย์สิน พูดฝากฝังคนข้างหลัง เป็นต้น
หากพบผู้ที่มีพฤติกรรมและอารมณ์ที่กล่าวมา ขอให้รีบเข้าไปพูดคุย ช่วยเหลือ สอบถามโดยเร็ว อย่าคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ส่วนผู้ที่มีปัญหา อย่าอาย สามารถโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
กรณีสื่อมวลชนและคนทั่วไป หากมีคลิปหรือภาพเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายไม่ควรแชร์หรือเผยแพร่อย่างเด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของบุคล และป้องกันการเลียนแบบการฆ่าตัวตายซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้