กรุงเทพฯ--8 ส.ค.--บีซีพีจี
บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2561 มีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าประมาณ 874 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 ในขณะที่ EBITDA ไตรมาสนี้ อยู่ที่ 670 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2561 ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิประมาณ 419 ล้านบาท
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า รายได้ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ บริษัทฯ มีการรับรู้ผลการดำเนินงานจากการจำหน่ายไฟของบริษัทฯ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทย่อย โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้าประมาณ 874 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 อย่างไรก็ตาม รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าลดลงร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 สาเหตุเกิดจากความเข้มของแสงในไตรมาสที่ 2/2561 ลดลงทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น
สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเป็นจำนวน 19 ล้านบาท ลดลง 50 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 72.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการทำรีไฟแนนซ์โครงการที่ประเทศอินโดนีเซียเพื่อขยายเวลาการชำระหนี้และเพิ่มกระแสเงินสดให้ดีขึ้น โดยจะมีการบันทึกเพียงครั้งเดียวในไตรมาสนี้ อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานของโครงการดังกล่าวยังเป็นไปตามปกติ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น 66.7 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Administrative Expense) ลดลงจากไตรมาสที่ 1/2561 ร้อยละ 8 และ ลดลงร้อยละ 27.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิประมาณ 419 ล้าน
ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2561 กลุ่มบริษัทมีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 33,388 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.8 เทียบกับสิ้นปี 2560 สำหรับหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 18,206 ล้านบาท (หากเป็นหนี้สินรวมเท่ากับ 19,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 เทียบกับสิ้นปี 2560 และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน 1.32 เท่า ณ สิ้นไตรมาส เพิ่มขึ้นล็กน้อยจาก 1.23 เท่า ณ สิ้นปี 2560
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 บริษัทฯ ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการโซลาร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตรกับองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปภัมภ์ (อผศ.) ของบริษัทฯ ที่จังหวัดสระบุรีและกาญจนบุรี ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และเริ่มรับรู้รายได้ด้วยอัตราการรับซื้อไฟฟ้าแบบ FiT ที่ 4.12 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญาที่ 8.94 เมกะวัตต์ ในขณะเดียวกัน โครงการนำร่องที่ T77 ของการซื้อขายไฟฟ้าผ่านอินเตอร์เน็ตแบบ Peer-to-Peer ที่ทางบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท Power Ledger จากประเทศออสเตรเลีย จะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปลายเดือนสิงหาคมนี้
ส่วนการขยายธุรกิจยังคงเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ อาทิ การดำเนินการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในโครงการต่างๆ การดำเนินการก่อสร้างและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 10 เมกะวัตต์ โดยโครงการนี้ได้รับอัตราการรับซื้อไฟฟ้าแบบอัตราส่วนเพิ่ม (adder) ที่ 3.5 บาท จากค่าไฟฐาน ในขณะที่การเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการ การร่วมทุน หรือการลงทุนใหม่นั้น บริษัทฯ ยังให้ความสนใจในธุรกิจพลังงานสะอาดทุกรูปแบบที่มีศักยภาพในการเติบโตและสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของบริษัท โดยใช้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นของโครงการ (EIRR) ในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการที่จะลงทุน โดย EIRR นั้นต้องอยู่ในช่วงร้อยละ 12 – 15
นอกจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ยังได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยในช่วงที่ผ่านมา ได้รับรางวัล Most Sustainable Company – Thailand จาก The European Global Business Awards 2018 รางวัล Best Clean Energy Community Solutions Southeast Asia 2018 จาก Capital Finance International (CFI.co) และได้รับคัดเลือกโดยสถาบันไทยพัฒน์ให้เป็น 1 ในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance: ESG) จากการประเมินบริษัทจดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2561 จำนวนทั้งสิ้น 683 บริษัทอีกด้วย