กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
'สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ฯ' ผู้จัดการกองทรัสต์ SHREIT เตรียมขออนุมัติที่ประชุม EGM 14 ส.ค.นี้ ไฟเขียวแผนเพิ่มทุนกองทรัสต์ไม่เกิน 415 ล้านหน่วยและกู้ยืมเงินประมาณ 62.5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 2,081 ล้านบาท) เพื่อนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินประเภทโรงแรมอีก 2 แห่ง ได้แก่ โครงการโรงแรม Sofitel Bali Nusa Dua Beach Resort เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และโครงการโรงแรม Hilton Garden Inn Kuala Lumpur ประเทศมาเลเซีย ดันขนาดกองโตขึ้นกว่า10,000 ล้านบาท ชี้ทรัพย์สินทั้ง 2 แห่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากอานิสงส์การขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น
นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์อิสระที่บริหารโดยมืออาชีพ และผู้จัดการกองทรัสต์ SHREIT เปิดเผยว่า กองทรัสต์ SHREIT ได้เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติแผนการเพิ่มหน่วยลงทุนและเสนอขายหน่วยทรัสต์ใหม่เพิ่มเติมไม่เกิน 415 ล้านหน่วย และการกู้ยืมเงินประมาณ 62.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,081 ล้านบาท) รองรับแผนขยายการลงทุนในทรัพย์สินกลุ่มธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มเติมจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ การลงทุนในสิทธิการเช่าโครงการโรงแรม Sofitel Bali Nusa Dua Beach Resort บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาว ที่มีจำนวนห้องพักรวม 398 ห้อง และบ้านพักวิลล่าจำนวน 17 หลัง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและห้องประชุมจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับการประชุมสัมมนาระดับนานาชาติ (MICE)
และการลงทุนกรรมสิทธิ์ในโครงการโรงแรม Hilton Garden Inn Kuala Lumpur เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยโรงแรมตั้งอยู่ในเขต Chow Kit บริเวณใกล้กับ Kuala Lumpur City Centre (KLCC) ซึ่งเป็นพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของกัวลาลัมเปอร์ โดยโรงแรม Hilton Garden Inn Kuala Lumpur มีห้องพักรวม 532 ห้อง และเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว มาตรฐานสากลแห่งเดียวในย่านนั้น โดยภายหลังจากกองทรัสต์เข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมในครั้งนี้ส่งผลให้ขนาดมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์เติบโตขึ้นจากเดิมประมาณ 5,000 ล้านบาทเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท และทำให้กอง SHREIT มีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้นๆ เทียบกับกอง REIT ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ทรัพย์สินทั้ง 2 แห่งที่กองทรัสต์ SHREIT เข้ามาลงทุนนั้น ถือเป็นทรัพย์สินที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี เนื่องจากเมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และเมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของทรัพย์สินมีอัตราการขยายตัวจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อเนื่อง โดยเมืองกัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวจีน อินเดียและตะวันออกกลาง ส่งผลให้ภาพรวมการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 4.8% ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวภายในประเทศให้ความนิยมเดินทางท่องเที่ยวมายังเมืองดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 12.3% เช่นกัน
ขณะที่เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นเมืองจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยรัฐบาลของอินโดนีเซียให้ฟรีวีซ่าเพื่อแก่นักท่องเที่ยว 169 ประเทศทั่วโลก ส่งผลดีให้จำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองบาหลีขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหรือเฉลี่ยอยู่ที่ 14.6% ต่อปี ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2017 มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเยือนเมืองบาหลีทั้งสิ้น 5.5 ล้านคนและปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 6.5 ล้านคน นอกจากนี้ ตลาดการประชุมและนิทรรศการ (MICE) ของอินโดนีเซีย ก็เติบโตเป็นอย่างมากเช่นกัน โดยล่าสุด มีการจัดการประชุมและนิทรรศการ International Monetary Fund and World Bank Group ที่จะมีตัวแทนจากทั่วโลก 15,000 คน เข้ามาร่วมประชุมที่เมืองบาหลี ส่งผลดีต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมโรงแรมในเมืองบาหลี
"ทรัพย์สินที่กองทรัสต์ SHREIT จะเข้าลงทุนนั้นมีศักยภาพการเติบโตที่ดีมาก เนื่องจากประเทศมาเลเซียและประเทศอินโดนีเซียถือเป็นหนึ่งในประเทศจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ความสนใจมาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยเมืองกัวลาลัมเปอร์และเมืองบาหลี ซึ่งเป็นที่ตั้งของทรัพย์สินที่ SHREIT จะเข้าลงทุนนั้น จะได้รับอานิสงส์การเติบโตที่ดีจากการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น จึงเชื่อมั่นว่า การเข้าลงทุนของ SHREIT จะสร้างโอกาสและผลตอบแทนที่เหมาะสมแก่ผู้ถือหน่วยทุกคน" นายปธาน กล่าว