กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") ประกาศกำไรสุทธิจำนวน 1,205 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 64 จาก 737 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2560 การเติบโตของกำไรสุทธิดังกล่าวเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของไมเนอร์ โฮเทลส์ ด้วยการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ของโรงแรมในตลาดหลักของบริษัท และการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงผลกำไรจากเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปซึ่งบริษัทได้เข้าลงทุนในไตรมาสที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทมีการบันทึกผลกำไรจากการเปลี่ยนสถานะของเงินลงทุนในเบนิฮานาจำนวน 121 ล้านบาท หากไม่นับรวมผลกำไรที่เกิดขึ้นครั้งเดียวดังกล่าว บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในอัตราร้อยละ 47 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2561 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 2,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 ซึ่งมีกำไรสุทธิจำนวน 2,661 ล้านบาท
ไมเนอร์ โฮเทลส์ดำเนินธุรกิจเป็นเจ้าของและรับจ้างบริหารโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม ในไตรมาส 2 ปี 2561 ไมเนอร์ โฮเทลส์มีกำไรสุทธิจำนวน 705 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 145 จากไตรมาส 2 ปี 2560 ซึ่งมีกำไรสุทธิจำนวน 287 ล้านบาท รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง ความน่าดึงดูดของโรงแรมในเครือไมเนอร์ โฮเทลส์ และความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาด แม้ว่าสกุลเงินบาทจะยังคงแข็งค่าต่อสกุลเงินต่างประเทศที่ไมเนอร์ โฮเทลส์ดำเนินธุรกิจอยู่ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ สกุลเงินบราซิลเลียน เรอัล และสกุลเงินต่างๆ ของแอฟริกา หากไม่รวมผลกระทบจากการแปลงค่างบสกุลเงินต่างๆ กลุ่มโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในอัตราร้อยละ 7 ซึ่งส่วนใหญ่เนื่องมาจากโรงแรมในต่างประเทศ ซึ่งมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนที่แข็งแกร่งในอัตราร้อยละ 11 ส่วนโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองในประเทศไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ในไตรมาส 2 ปี 2561 เนื่องมาจากโรงแรมในกรุงเทพฯ กลุ่มโรงแรมในประเทศโปรตุเกสยังคงได้รับผลประโยชน์จากการขึ้นราคาค่าห้องพักภายหลังจากการปรับปรุงโรงแรม ในขณะที่กลุ่มโรงแรมในประเทศบราซิลมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอัตราร้อยละ 22 ในสกุลเงินท้องถิ่น โรงแรมในประเทศ มัลดีฟส์มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าจะเผชิญกับปัญหาจำนวนโรงแรมใหม่และการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากอัตราการเข้าพักที่สูงขึ้น ด้วยความสำเร็จในการทำการตลาดแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายของไมเนอร์ โฮเทลส์ อีกทั้ง ในไตรมาส 2 ปี 2561 กำไรสุทธิจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนอย่างมีนัยสำคัญของกำไรสุทธิรวมของไมเนอร์ โฮเทลส์ นอกจากนี้ การลงทุนในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ยังสร้างผลกำไรให้กับบริษัท ด้วยเงินปันผลรับสุทธิด้วยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องจำนวน 215 ล้านบาท สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 2561 ไมเนอร์ โฮเทลส์มีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง จากผลการดำเนินงานที่ดีของโรงแรมในตลาดหลักที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของผลกำไรจากเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ทั้งนี้ ประเทศไทยจะยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและเป็นตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัท ในขณะที่ผลการดำเนินงานของโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยว โรงแรมในประเทศโปรตุเกสจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกจากการปรับปรุงโรงแรมที่เสร็จสิ้น ส่วนโรงแรมในประเทศบราซิลจะมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสกุลเงินท้องถิ่น
ไมเนอร์ ฟู้ดดำเนินธุรกิจร้านอาหารแบบนั่งทานโดยมี 4 กลุ่มธุรกิจร้านอาหารหลัก ได้แก่ ประเทศไทย จีน ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ไมเนอร์ ฟู้ดมีกำไรสุทธิจำนวน 470 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาส 2 ปี 2560 ซึ่งมีกำไรสุทธิจำนวน 431 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากกำไรจากการเปลี่ยนสถานะของเงินลงทุนในเบนิฮานาจำนวน 121 ล้านบาท แม้ว่าการเติบโตของยอดขายต่อร้านเดิมในตลาดหลักของบริษัทยังคงได้รับแรงกดดันในไตรมาส 2 ปี 2561 แต่ผลการดำเนินงานในประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในแต่ละเดือน โดยสเวนเซ่นส์และแดรี่ ควีนมียอดขายต่อร้านเดิมที่เพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน เนื่องมาจากการออกเมนูใหม่ ได้แก่ การเปิดตัวเมนูบิงซู ซันเดหลากหลายรสชาติของสเวนเซ่นส์ และเมนูไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟรสชาไทยของแดรี่ ควีน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีและมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ส่วนกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในแต่ละเดือนเช่นเดียวกัน ทั้งในแง่ยอดขายต่อร้านเดิมและยอดขายโดยรวมทุกสาขา สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2561 การบริโภคของภาคเอกชนในประเทศไทยคาดว่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสัญญานที่ดีขึ้นของแนวโน้มรายได้เกษตรกร ในขณะที่ไมเนอร์ ฟู้ดจะยังคงออกกลยุทธ์ทางการตลาด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และดำเนินแผนการขยายสาขาต่อไป ส่วนในประเทศจีน ไมเนอร์ ฟู้ดอยู่ในระหว่างเร่งขยายสาขาของริเวอร์ไซด์ในกรุงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ตามแผนที่ได้ตั้งไว้ เดอะ คอฟฟี่ คลับประสบความเสร็จในการขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศภายนอกประเทศออสเตรเลีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยและตะวันออกกลาง และมีความพร้อมในการขยายสาขาในตลาดใหม่ต่อไป นอกจากนี้ การลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 75 ในธุรกิจเบนิฮานาภายนอกสหรัฐอเมริกาในไตรมาสดังกล่าวยังสามารถสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้ทันทีและต่อไปในอนาคตข้างหน้า
ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นและสินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือนภายใต้แบรนด์ต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้าในครัวเรือนให้กับบริษัทจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์มีกำไรสุทธิจำนวน 30 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 67 จาก 18 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2560 โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของแบรนด์แฟชั่น โดยเฉพาะบรูคส์ บราเธอร์ส บอสสินี่ และชาร์ล แอนด์ คีธ ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2561 ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ ได้เปิดตัวโบเดิ้ม ซึ่งเป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องชงกาแฟและเครื่องครัวจากประเทศเดนมาร์ก ในประเทศไทย ทั้งนี้ ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์จะยังคงพิจารณาขยายเครือข่ายแบรนด์กลุ่มสินค้าแฟชั่นและเครื่องใช้ในบ้านและครัวเรือนเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท:
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจระดับสากล โดยประกอบ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,100 สาขา ใน 27 ประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้าเดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน, เบอร์เกอร์ คิง, ไทย เอ็กซ์เพรส, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, เบร็ดทอล์ค (ประเทศไทย), ริเวอร์ไซด์ และเบนิฮานา อีกทั้งยังเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจโรงแรมทั้งในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีท ทั้งสิ้น 161 แห่ง ภายใต้เครื่องหมายการค้า อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอเลวาน่า, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เรดิสัน บลู, เดอะ โบมอนต์ และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ใน 26 ประเทศในในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป และอเมริกาใต้ นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ในทวีปยุโรปและอเมริกาใต้ ด้วยการเข้าถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 29.8 ในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจโรงแรม โดยจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์มาดริด เอ็นโดยเอช โฮเทล กรุ๊ปดำเนินธุรกิจโรงแรมกว่า 380 แห่งและมีจำนวนห้องพักรวมเกือบ 60,000 ห้องภายใต้แบรนด์NH Collection Hotels, NH Hotels, nhow และ Hesperia ใน 30 ประเทศทั่วทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา รวมถึงเมืองสำคัญ เช่น อัมสเตอร์ดัม, บาร์เซโลนา,เบอร์ลิน, โบโกตา, บรัสเซลส์, บัวโนสไอเรส, ดึสเซลดอร์ฟ, แฟรงค์เฟิร์ต, ลอนดอน, มาดริด, เม็กซิโกซิตี้, มิลาน, มิวนิก, นิวยอร์ก, โรม และเวียนนา บริษัทยังเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น ไลฟ์สไตล์จากต่างประเทศ โดยเครื่องหมายการค้าที่บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายในปัจจุบัน ได้แก่ แก๊ป, บานาน่า รีพับบลิค,บรูคส์ บราเธอร์ส, เอสปรี, บอสสินี่, เอแตม, โอวีเอส, แรทลีย์, อเนลโล่, ชาร์ล แอนด์ คีธ, เพโดร, สวิลลิ่ง เจ. เอ. เฮ็งเคิลส์, โจเซฟ โจเซฟ, โบเดิ้ม และไมเนอร์ สมาร์ท คิดส์ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minorinternational.com