กรุงเทพฯ--14 ส.ค.--สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
ตลอดระยะเวลาเกือบ 40 สัปดาห์ ของการตั้งครรภ์จนถึงวันคลอด เป็นช่วงเวลาที่คุณแม่ต้องดูแลสุขภาพให้ดี ไม่ให้เกิดภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉิน โดยเฉพาะในเดือนนี้คือเดือนสิงหาคม เป็นเดือนแห่งวันแม่ สพฉ. จึงขอให้ความสำคัญกับการดูแลแม่ หรือ คนที่กำลังจะเป็นแม่ ให้ปลอดภัย
นายแพทย์ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ระดับความเสี่ยงของแม่ ขึ้นอยู่กับอายุและการดูแลร่างกายของแม่ ซึ่งตามปกติแม่ที่เริ่มมีอายุมากขึ้น จะมีภาวะเสี่ยงต่อโรคฉุกเฉินเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะแม่ที่ตั้งครรภ์และมีอายุมาก ยิ่งต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพราะจะยิ่งมีความเสี่ยง จากสถิติ ตลอดทั้งปี พ.ศ. 2560 พบว่า มีการนำส่งผู้ป่วยเพศหญิง อายุระหว่าง 30-50 ปี ที่เจ็บป่วยฉุกเฉินจากการตั้งครรภ์ การคลอดและนรีเวช 8,410 คน คิดเป็นร้อยละ 0.53 จากผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งหมด โดยจังหวัดที่มีผู้ป่วยฉุกเฉินมาก 5 อันดับแรก คือ นราธิวาส 478 ราย , สงขลา 471 ราย , อุบลราชธานี 338ราย , ขอนแก่น 328 ราย และ ปัตตานี 289 ราย
สำหรับอาการฉุกเฉินระหว่างการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่จะมีภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ซึ่งเกิดได้หลายสาเหตุและจะมีความรุนแรงแตกต่างกันออกไป อาทิ การตั้งครรภ์นอกมดลูก ภาวะตกเลือด และภาวะเลือดออกในช่องท้องจากการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งอาจทำให้แม่เสียเลือดมาก ถือเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ โดยอาการของการตั้งครรภ์นอกมดลูกสามารถสังเกตได้ดังนี้ จะปวดท้องข้างใดข้างหนึ่งขึ้นมาโดยฉับพลัน มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดคลำเจอก้อนที่ท้องและมีอาการอ่อนเพลียหรือหน้ามืดในขณะที่ลุกขึ้น
นพ.ไพโรจน์ บอกว่า การตกเลือดหรืออาจเรียกว่า "เลือดตกใน" คือจะมีเลือดออกจากเส้นเลือดภายในร่างกาย แต่ไม่ไหลออกมาภายนอกให้เห็นชัดเจน ซึ่งสาเหตุเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่นการฉีกขาดของอวัยวะและเส้นเลือดภายใน หรือ ความดันในเส้นเลือดสูง ความดันเลือดในร่างกายสูงกว่าปกติ อาจทำให้เส้นเลือดบางแห่งแตก จะมีอาการ คือ ซึม ซีด เหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจรเบาและเร็ว หายใจเร็ว
ส่วนการปฐมพยาบาลผู้ที่มีภาวะตกเลือด จะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ต้องรีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด และระหว่างนั้นต้องให้ผู้ป่วยนอนนิ่ง ๆ ให้ศีรษะต่ำกว่า โดยยกปลายเท้าให้สูงเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองและป้องกันอาการช็อก ห่มผ้าให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย คอยสังเกตชีพจร การหายใจตลอดเวลา ถ้าหยุดหายใจ ต้องรีบทำการช่วยหายใจทันที