กรุงเทพฯ--14 ส.ค.--เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) มองเศรษฐกิจไทยมีทิศทางที่ดีขึ้น รับแรงสนับสนุนจากภาคการส่งออกและท่องเที่ยวขยายตัว รวมถึงแผนการลงทุนของภาครัฐ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลัง หลังจากทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในช่วงครึ่งปีแรก โดยรอบ 6 เดือนแรกของปี2561 บริษัทฯ มียอดรับรู้รายได้ 2,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 402 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 41% จากปีก่อนหน้า นับเป็นการขยายตัวติดต่อกันมาตลอด 3 ปี พร้อมกันนี้ เตรียมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.165 บาท โดยกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 30 สิงหาคม 2561 และจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 กันยายน 2561
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์"บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี" เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 3 และ 4 ปี 2561 ว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยภาพรวมทั้งปี2561 น่าจะเห็นการขยายตัวราว 4 – 4.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดี อีกทั้งเริ่มเห็นสัญญาณการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐเริ่มกลับมาขยายตัวในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ดีภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงต้องเฝ้าติดตามการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เพราะแม้จะมีการขยายตัว แต่ยังคงเป็นการเติบโตที่กระจุกตัวในบางอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวในระดับสูงเป็นตัวฉุดกำลังซื้อในประเทศ และความเสี่ยงจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อเช่นเดียวกัน ในส่วนปัจจัยเสี่ยงนอกประเทศต้องติดตามประเด็นสงครามการค้าระหว่างประเทศ หากลุกลามอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจของโลกและไทยได้
ทั้งนี้ ในเชิงกลยุทธ์ บริษัทฯ ได้ประเมินทิศทางเศรษฐกิจไว้แล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี จึงมีแผนธุรกิจที่สอดรับกับสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลประกอบการที่เติบโตได้ดี โดยในรอบไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทฯ มียอดรับรู้รายได้รวม 1,119.6 ล้านบาท ขยายตัวราว 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560และมีกำไรสุทธิ 219.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 29% นับเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงกว่า 25% ต่อเนื่องตลอดช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ทั้งนี้ในรอบครึ่งปีแรก บริษัทฯ สามารถทำยอดขายใหม่ได้กว่า 2,800 ล้านบาท ซึ่งทำได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ จึงมั่นใจว่าภาพรวมในปีนี้จะสามารถทำได้ดีกว่าเป้าที่ตั้งเอาไว้
สำหรับผลประกอบการรอบ 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มียอดรับรู้รายได้ที่ 2,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่ 402 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 41% จากปีก่อนหน้า ถือเป็นการขยายตัวติดต่อกันมาตลอด 3 ปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.165 บาท กำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 30 สิงหาคม 2561 และจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นทุกท่านในวันที่ 7 กันยายน2561
ในแง่โครงสร้างเงินทุน ถึงแม้ว่าบริษัทฯ มีการขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงรักษาระดับ Gearing ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการบริหารจัดการรอบการดำเนินธุรกิจได้เร็ว ทำให้มี Internal Cash Flow มาใช้ในการขยายธุรกิจ ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.76 เท่า ปรับลดลงจาก ณ สิ้นไตรมาสแรก ซึ่งอยู่ที่ 0.82 เท่า โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนดังกล่าว นับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ที่ราว 1.40 เท่า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง และศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากของบริษัทฯ ในอนาคต
นายชูรัชฏ์ กล่าวถึงแผนธุรกิจในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2561 ว่าบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 2โครงการภายในเดือนสิงหาคมนี้ และในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะเปิดโครงการใหม่อีกราว 3 - 4 โครงการ ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ ที่เน้นด้านQuality, CRM และ Service Mind นอกจากนี้เตรียมรุกไปข้างหน้าด้วยการเน้นทำตลาดเชิงรุก ทั้ง Online Marketing และ Offline Marketing โดยเลือกสื่อและเครื่องมือที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าและทำเล ตลอดจนมีการเพิ่มงบประมาณในส่วนของ e-Marketing เนื่องจากเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เฉพาะเจาะจง ซึ่งช่วยให้การใช้งบการตลาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ มั่นใจว่าทั้งปี 2561 บริษัทฯ จะสามารถเติบโตได้เป็นตามเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีที่ 4,000 ล้านบาท อย่างแน่นอน