กรุงเทพฯ--14 ส.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA ประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2561 รักษาผล การดำเนินงานปกติแข็งแกร่ง มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทและกิจการร่วมค้าอยู่ที่ 5,470 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,083 ล้านบาท เติบโตขึ้น 3% ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งเป็นเพียงผลกระทบทางบัญชี จะอยู่ที่ 1,128 ล้านบาท เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่า 38% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้รายได้การขายสินทรัพย์เข้ากอง HREIT และการขายน้ำเพิ่มขึ้น บวกการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ด้าน GROUP CEO "จรีพร จารุกรสกุล" ระบุภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลังเดินหน้าตาม Business Planที่วางไว้ ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจา ลูกค้ารายใหญ่ขายที่ดิน และเช่าคลังสินค้าหลายราย สอดรับนโยบายการลงทุนในโครงการ EEC คาดได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ และเตรียมขายสินทรัพย์เข้ากอง WHART และ HREIT ปลายปีนี้
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ผู้นำธุรกิจแบบครบวงจร ด้านธุรกิจโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลแพลตฟอร์ม เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทและกิจการร่วมค้าจากการดำเนินงาน 5,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรฯ ที่ 4,773 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 1,083 ล้านบาท เมื่อพิจารณาจากกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) จากการอ่อนค่าของค่าเงินบาทในไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 1,128 ล้านบาท ซึ่งเติบโตกว่า 38% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 816 ล้านบาท โดยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบทางบัญชี และไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดหรือผลประกอบการที่แท้จริงของบริษัทฯ
สำหรับสาเหตุการเติบโตของผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกปีนี้ จากจากการรับรู้รายได้การขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (HREIT) ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 1,590 ล้านบาทในช่วงต้นปี รวมทั้งรวมทั้งปริมาณการขายและให้บริการน้ำที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้น้ำ ของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และการให้บริการโรงไฟฟ้า SPP ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2560 เป็นต้นมา จำนวน 5 โรง ส่งผลบริษัทรับรู้รายได้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้น กำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯอยู่ที่ 510.5 เมกะวัตต์ ซึ่งยังไม่รวมการให้บริการ Solar Rooftop ที่อยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้า จำนวน 7-8 ราย คิดเป็นประมาณ 5-6 เมกกะวัตต์ ทำให้สิ้นปีการให้บริการ Solar Rooftop ทั้งหมดคาดจะอยู่ประมาณ 10 เมกกะวัตต์
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/2561 บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นเพียงผลกระทบทางบัญชีและไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดหรือผลประกอบการที่แท้จริงของบริษัทฯ รวมทั้งมีจำนวนที่ดินที่โอนน้อยกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทและกิจการร่วมค้า 2,023 ล้านบาท ลดลง 41% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิลดลง 669 ล้านบาท คิดเป็น69% แต่หากพิจารณาจากกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจะลดลง 379 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 42%
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 ภาพรวมธุรกิจมีการปรับตัวคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจพัฒนาโลจิสติกส์ เนื่องจากพื้นที่การให้บริการของบริษัทส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทในการมุ่งมั่นส่งเสริมพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) ของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงลูกค้าอุตสาหกรรมใหม่ที่ภาครัฐให้การสนับสนุน ได้แก่ อุตสาหกรรมการบิน และอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ส่งผลบวกให้มีการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งในพื้นที่ของ WHA Group ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีการเจรจาลูกค้ารายใหญ่ที่สนใจซื้อพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัท จำนวน 4-5 ราย ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปความชัดเจนได้ในครึ่งปีหลัง 2561 นี้ทั้งหมด จึงมั่นใจว่ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้แต่ต้นปี
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเตรียมเซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหญ่ในส่วนของคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit อีก 2 ราย ซึ่งคิดเป็นพื้นที่กว่า 170,000 ตารางเมตร ส่งผลให้ยอดการการเช่าพื้นที่คลังสินค้า และเพิ่มขึ้นจากอย่างต่อเนื่อง จากครึ่งปีแรกที่มียอดการเช่าคลังสินค้า และโรงงานแบบ Built-to-Suit และReady-built ประมาณ 60,000 ตารางเมตร
นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 4/2561 บริษัทฯเตรียมแผนการขายทรัพย์สินของบริษัทฯ ให้กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (กองทรัสต์ WHART) และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (กองทรัสต์ HREIT) คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายและสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้