กรุงเทพฯ--16 ส.ค.--
JCKH ประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/61 พลิกมีกำไร 1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101% จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 51 ล้านบาท เหตุรับผลดีจากการบริหารต้นทุนลดค่าใช้จ่าย เลือกปิดสาขาที่ขาดทุน ส่งผลให้พลิกฟื้นได้เร็ว ขณะที่เปิดแผนครึ่งปีหลังเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนเน้นสร้างรายได้เพิ่ม งัดกลยุทธ์ synergy ร้านอาหารในเครือหนุนกำไรเพิ่มขึ้นคึกคัก
นาย อภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JCKH เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 2/61 มีกำไรสุทธิ 1.23 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 102.40% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีผลขาดทุน 51.31 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมในไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 400.29 ล้านบาทลดลงเล็กน้อย จากงวดเดียวกันที่มีรายได้อยู่ที่ 477.09 ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้รายได้รวมจะลดลง แต่จากนโยบายการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่าย รวมถึงการปิดลดสาขาขาดทุน ส่งผลให้ JCKH ในไตรมาส 2/61 สามารถพลิกฟื้นกลับมามีกำไร 1.23 ล้านบาท จากที่เคยขาดทุนในไตรมาส 2/60 มากถึง 51.31 ล้านบาท ส่งผลให้ครึ่งปีแรกของปีนี้มีผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น โดยครึ่งปีแรกปี 61 ขาดทุนลดลงเหลือ 31.03 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนขาดทุน 99.13 ล้านบาท ซึ่งมีผลขาดทุนลดลง 68.10 ล้านบาท
สำหรับแผนงานครึ่งปีหลังของปี 2561 นั้น JCKH ยังคงมุ่งเน้นนโยบายการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งยังคงเน้นนโยบายการปรับเพิ่มรายได้ ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ การปรับระดับของราคาขายทำให้มีความแตกต่าง และหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละกลุ่มลูกค้า รวมถึงจับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีกำลังซื้อที่ต้องการสินค้าและบริการที่มีคุณภาพดี ขณะเดียวกันก็ยังเน้นการพัฒนาและยกระดับการให้บริการและปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการลงทุนงบโฆษณาและการตลาดเพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขายและสร้างภาพลักษณ์ของ Brand ให้เข้มแข็งและเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยคัดเลือกเครื่องมือทางการตลาดผ่านทั้ง on line & off line เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและหลากหลาย
ขณะที่การลงทุนในร้านภายใต้แบรนด์ใหม่ที่มีศักยภาพและสไตล์ร้านอาหารที่หลากหลายมากขึ้น เน้นอาหารประเภท A la carte เนื่องจากมี Gross Profit Margin ที่ดีกว่า เช่น ร้านอาหารเจิ้นโต้ว ร้านอาหารสไตล์ภัตตาคารจีน ที่ให้บริการอาหารจีน และติ๋มซำ ที่เน้นรสชาต และคุณภาพดี ในระดับราคาที่สมเหตุสมผล ในระยะแรกจะเน้นให้บริการเฉพาะอาหารประเภทติ๋มซำเป็นหลัก และค่อยเพิ่มไลน์เมนูอาหารมากขึ้นในอนาคต JCKH ได้เริ่มเปิดทดลองไปแล้ว 1 สาขา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาและคัดเลือกทำเลที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อเพื่อจะขยายสาขาใหม่ ซึ่งคาดว่าในปี 2561-2562 น่าจะเปิดได้อีกไม่น้อยกว่า 2-3 สาขา
ส่วนร้าน Signor Sassi ซึ่งเป็นร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นแฟรนไชส์ร้านอาหารจากประเทศอังกฤษ เปิดให้บริการในประเทศไทยมานานกว่า 6 ปี ร้านตั้งอยู่ Siam Paragon ชั้น G ซึ่งถือว่าอยู่ในทำเลที่ดี มีกลุ่มลูกค้าและรายได้ที่แน่นอนแล้ว รวมทั้งด้วยชื่อเสียงของ Brand ทำให้มีโอกาสในการขยายสาขาใหม่ได้อีกในอนาคต ปัจจุบัน Signor Sassi มีรายได้จากการขายเกือบ 50 ล้านบาท/ปี และมี EBITA ประมาณ 1.5 ล้านบาท/ปี โดย JCKH ได้ซื้อร้านดังกล่าวมาจากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในราคาที่ไม่แพงประมาณ 5-6 ล้านบาท (ตามมูลค่าบัญชีของทรัพย์สินที่ซื้อมา) ถึงแม้ปัจจุบันกำไรจะไม่มากนัก แต่คาดว่าเมื่อรวมกิจการเข้าในกลุ่ม JCKH จะทำให้เกิด synergy จากการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกัน จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่า JCKH สามารถเริ่มรับรู้รายได้และกำไรจากร้านนี้ได้อย่างช้าไม่เกินไตรมาส 4/61 และคาดว่าใช้เวลาคืนทุนได้ภายใน 2 ปี
นอกจากนี้ ภาพรวมผลประกอบการปีนี้คาดว่า รายได้ปีนี้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท หลังจากปรับโครงสร้างภายใน ทั้งปิดสาขาที่ไม่สร้างรายได้ และปรับปรุงสาขาเดิมทั้งเรื่องคุณภาพอาหาร ความสะอาดของร้านพร้อมขยายสาขาใหม่ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 100-200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในปีต่อๆ ไป รายได้จะโตปีละ 10-15% โดยปัจจุบัน JCKH มีธุรกิจอาหาร 5 แบรนด์หลัก รวมกัน 102 สาขา ได้แก่ HotPot 91 สาขา Daidomon 7 สาขา Signature 2 สาขา Toomato1 สาขา และ Soupper Pot 1 สาขา