กรุงเทพฯ--20 ส.ค.--เวิรฟ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายองค์กรได้ออกมาสร้างการรับรู้ถึงคุณค่าของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประเด็นฮอตของคนกรุงฯ กับมหากาพย์ฝุ่น PM2.5 ไมครอน ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยตรงเพราะสามารถเดินทางทะลุเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดของมนุษย์เราได้ง่ายๆ เพียงแค่หายใจเบาๆ หรือพื้นที่สีเขียว (ธรรมชาติ) ของกรุงเทพฯ มีพื้นที่น้อยเพียง 6 ตารางเมตรต่อคน ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานข้อกำหนดของโลก โดยองค์การอนามัยโลก (World Health Organization-WHO) เสียอีก นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องมากมาย อาทิ อากาศที่ร้อนมากขึ้น หรือแม้แต่การพังทลายของหน้าดินเมื่อมีปริมาณฝนเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมาเหล่านี้ ล้วนเป็นผลกระทบที่มนุษย์เรากระทำต่อธรรมชาติ นับเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงาน หรือองค์กรใดองค์หนึ่ง แต่ถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องอาศัยแรงผลักดันของทุกคนในประเทศ ที่ต้องเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของต้นไม้ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเร่งช่วยกันแก้ไขคนละไม้คนมือ ซึ่งทำให้เกิดแคมเปญเพื่อสังคมมิติใหม่ "Forest Rescue – ฟอเรส เรสคิว" แคมเปญรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์และกู้ชีพต้นไม้รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล
นายวัสนัย ภคพงศ์พันธุ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ (MQDC) กล่าวว่า"จากการที่โครงการ "THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์" ได้ประกาศนิยามแห่งการสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท โมเดลแรกของโลกที่ครบบริบูรณ์ ด้วยโครงการที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทล อาคารและสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ อาคารนวัตกรรมแห่งอนาคต ศูนย์เรียนรู้ ที่ผสานอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติระบบนิเวศของผืนป่าที่สมบูรณ์ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ "Imagine Happiness" ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 4 หมวดใหญ่ หรือEternal 4 ได้แก่ 50 Shades of Nature ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติระบบนิเวศขนาดใหญ่ Connecting 4 Generations ความสุขในการดีไซน์พื้นที่ความอบอุ่นให้กับครอบครัวได้ใช้ชีวิตร่วมกันครอบคลุมถึง 4 เจนเนอเรชั่น Community of Dreams ความสุขบนพื้นที่และสาธารณูปโภคที่ให้ทุกคนได้ทำกิจกรรมร่วมกันSustainnovation for Well-being ความสุขด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งนับเป็นดีเอ็นเอของ MQDC ที่สร้างแนวคิดใหม่ของการใช้ชีวิตทั้งในวันนี้และในอนาคตต่อไป และอีกหนึ่งองค์ประกอบที่มีส่วนสำคัญ คือ แนวทางการสร้างป่าสังคมธรรมชาติบนพื้นที่ 30 ไร่ ภายในโครงการเพื่อให้คน ที่อยู่อาศัยสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางระบบนิเวศได้อย่างกลมกลืน จึงเป็นที่มาที่ทำให้โครงการให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ประกอบกับปัญหาหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติในด้านต่างๆ ที่เรากำลังจะต้องเผชิญในอนาคต จึงนับเป็นจุดกำเนิดและโจทย์ในการสร้างแคมเปญนี้"
คุณภาคย์ วรรณศิริ Executive creative director บริษัท เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ประเทศไทย กล่าวว่า "ที่ผ่านมา เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ในฐานะที่เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการสื่อสารการตลาด ได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์และลูกค้าในการออกแบบงานโฆษณารณรงค์เชิงสร้างสรรค์มาอย่างต่อเนื่อง โดยการทำงานของเราได้ตั้งต้นตั้งแต่การเริ่มศึกษาวิจัยเพื่อคัดเลือกประเด็นทางสังคมที่เมื่อองค์กรที่เป็นพาร์ทเนอร์ของเราพูดแล้วมีพลังและประสิทธิภาพมากที่สุด ไปจนถึงการลงมือทำงานพัฒนาแคมเปญตั้งแต่ต้นโดยใช้นวัตกรรมที่เรามี และการใช้ความเชี่ยวชาญด้านการสื่อสารการตลาดเพื่อสื่อสารแคมเปญออกไปยังสาธารณชนเป็นวงกว้างในทางสร้างสรรค์ โดยเฉพาะแคมเปญช่วยเหลือสังคมที่เราดำเนินการร่วมกับพาร์ทเนอร์และลูกค้ามาในทุกปี อาทิ โครงการ "หมึกพิมพ์ลายนูน" หรือ "ทัชเบิ้ลอิงค์" (Touchable Ink) นวัตกรรมหมึกที่ช่วยเหลือคนตาบอดครั้งแรกของโลก โครงการ "ลิป เรสคิว" (Lip Rescue) ลิปสติกที่ได้รับการออกแบบนวัตกรรม บรรจุภัณฑ์ให้มีลักษณะเป็นนกหวีด ช่วยให้สาวๆ ปกป้องตนเองจากภัยและอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกที่ทุกเวลา หรือแคมเปญ "บ้าน… ไม่ใช่เวทีมวย" ที่รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง เป็นต้น จนมาถึงปีนี้ เราได้ร่วมกับ โครงการ "THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์" โดย MQDC ได้ร่วมสร้างสรรค์แคมเปญรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์และกู้ชีพต้นไม้รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล "Forest Rescue –ฟอเรส เรสคิว"
จุดเริ่มต้นแนวความคิดมาจากข้อสงสัยที่เกิดขึ้นทุกวันว่า... "ทำไม! ทุกครั้งที่มีการสร้างอาคาร ถนน ระบบสาธารณูปโภคในด้านต่างๆ ต้นไม้ จึงต้องกลายเป็นจำเลยอันดับหนึ่ง ที่ต้องสละชีวิตเพื่อความสะดวกสบายของมนุษย์" จึงเป็นที่มาของ เนื้อเรื่องของภาพยนตร์โฆษณาที่เราต้องการจะเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างต้นไม้และมนุษย์ ความผูกพันระหว่างมนุษย์กับต้นไม้ พร้อมทั้งสร้างการตระหนักรู้และชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของต้นไม้ว่ายิ่งต้นไม้ลดลงเท่าไหร่ ความสุข และคุณภาพชีวิตที่ดีของเราก็จะลงลดมากขึ้นเท่านั้น "เราไม่อยากเห็นการแทนที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ด้วยต้นไม้ปลูกในกระถาง หรือแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง หรือพื้นปูนก็ตาม" เพราะถ้ามองในมุมกลับกันต้นไม้ใหญ่แต่ละต้น สร้างคุณประโยชน์ให้แก่เรามากมาย ทั้งเพิ่มปริมาณออกซิเจน ช่วยป้องกันลมแรง หรือแม้แต่กรองอากาศหรือดักจับฝุ่น เป็นต้น ซึ่งแทนที่เราจะตัดทิ้ง ทำไมเราไม่ช่วยชีวิตต้นไม้ เพราะกว่าจะได้ต้นไม้ใหญ่แต่ละต้น เราต้องใช้เวลาดูแลไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี แล้วทำไมเวลาจะตัดทิ้งใช้เวลาคิดเพียง 5-10 นาทีแค่นั้นเอง ในทุกวันนี้ ยังมีต้นไม้อีกมากมายที่กำลังต้องการความช่วยเหลือจากเราทุกคน แคมเปญนี้ไม่ใช่การช่วยเหลือเพียงแค่ให้ต้นไม้สามารถอยู่รอดต่อไปในพื้นที่เดิม ซึ่งไม่สามารถการันตีอนาคตของต้นไม้ได้ แต่เป็นเหมือนเราทุกคนสามารถเป็น "กระบอกเสียง" ต่อชีวิตให้กับต้นไม้ด้วยการช่วยหาบ้านใหม่ให้ต้นไม้ได้มีพื้นที่เติบโตในที่ที่เหมาะสมและให้ต้นไม้เหล่านี้ได้มีอายุต่อไปจนสิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ โดยที่ทุกต้นยังสามารถทำหน้าที่สร้างประโยชน์ต่อมนุษย์และรักษาสมดุลระบบนิเวศได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเราต้องการสร้างกระแสไปยังกลุ่มเป้าหมาย คือ คนทั้งประเทศไทย ได้รับรู้และตระหนักถึงคุณค่าของต้นไม้ หวงแหน และเสียดายชีวิต ของต้นไม้ในเมือง
คุณวัสนัย กล่าวเสริมว่า "หลังจากที่เราประกาศแคมเปญนี้ออกไป เราได้รับการแจ้งเรื่องเข้ามากว่า 50 ต้น ภายในเวลา 1 เดือนเท่านั้น ทางเราได่ประเมินและดำเนินการช่วยเหลือแล้ว ก็ต่างเป็นต้นไม้ที่เติบโตมานาน แม้เป็นต้นไม้ที่ไม่ได้มีมูลค่าทางการเงิน แต่ก็มีมูลค่าทางใจ และเจ้าของก็ยังอยากรักษาชีวิตเค้าไว้ และเลือกให้ The Forestiasเป็นบ้านหลังสุดท้ายของต้นไม้ที่พวกเขารัก ในแต่ละเรื่องมีความจำเป็นที่ต้องให้เราเข้าช่วยเหลือต้นไม้เหล่านั้น อาทิ ต้นมะขาม บริเวณพุทธมณฑลสาย 3 ที่อยู่ในพื้นที่เดิมตั้งแต่การสร้างบ้าน แต่มีเหตุจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายเพราะต้นไม้โตจนเริ่มเบียดกำแพงจนกำแพงพัง ซึ่งความยากของการย้ายต้นมะขามอยู่ที่รากและกิ่งไม้มีจำนวนมากและมีความเหนียว ทำให้การทำงานของรุกขกรต้องใช้เวลาเคลื่อนย้ายเยอะขึ้น โดยคาดว่าภายในปีนี้แคมเปญนี้จะช่วยต้นไม้ได้อีกหลายนับร้อยชีวิต ความคาดหวังสูงสุดของเรา คือ ต้องการเป็นกระบอกเสียงจุดประเด็นทางสังคมเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างไปยังทุกคนในสังคมว่าต้นไม้มีชีวิต "รักษาชีวิตต้นไม้ เท่ากับ รักษาชีวิตเรา" เพราะเราเห็นความสำคัญของระบบนิเวศ การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ การเพิ่มออกซิเจนให้กับสังคมเมือง โดยแคมเปญ Forest Rescue ยึดมั่นที่จะเป็นกระบอกเสียง และสร้างสรรค์แคมเปญเพื่อสังคมในอนาคตต่อไป"
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถชมวิดีโอ คอนเทนต์ เรื่อง "Forest Rescue" ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=89od3KrsLp0&t=80s
Hashtag #ForestRescue #TheForestias #MQDCForAllWellBeing
เกี่ยวกับบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC)
บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) คือธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DTGO) ดำเนินกิจการพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์ ประกอบไปด้วย บ้าน คอนโดมิเนียม และโครงการมิกซ์ยูส พร้อมดำเนินธุรกิจภายใต้คำมั่นสัญญา 'for all well-being'
MQDC ได้พัฒนาที่อยู่อาศัยและโครงการมิกซ์ยูสที่เน้นความหรูหราภายใต้แบรนด์ แมกโนเลียส์ และโครงการที่เน้นการใช้ชีวิตแบบคนเมืองยุคใหม่ ภายใต้แบรนด์ วิสซ์ดอม และยังได้สร้างบริษัทน้องใหม่อย่าง บริษัท แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ พร้อมให้บริการการดูแลเต็มรูปแบบ เพื่อให้เป็น 'aging in place'
MQDC ได้สร้างโครงการขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ อาทิเช่น ICONSIAM และเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงาน เช่น ระบบของโครงการ WHIZDOM 101 'smart city' พร้อมให้การรับประกันยาวนานถึง 30 ปี ในทุกๆ โครงการของเราเพื่อยืนยัน ในมาตรฐานการก่อสร้างที่ดีที่สุด
การประยุกต์ปรัชญา 'นวัตกรรมแห่งความยั่งยืน' MQDC มุ่งมั่นที่จะนำพาภาคธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไปสู่ความยั่งยืน
MQDC ยังได้ให้การสนับสนุนการด้านการวิจัยและนวัตกรรม โดยได้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้อาศัย ผ่านEEC DT บริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท อีอีซี เอ็นจิเนียริ่ง เน็ทเวิร์ค จำกัด และ กลุ่มบริษัท ดีที MQDC ยังคงเน้นระบบที่ช่วยประหยัดพลังงาน เช่น District cooling และ on-site power
MQDC ดำเนินงานพร้อมกับการคำนึงถึงสิ่งมีชีวิตบนโลก มากกว่านั้นยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนาความยั่งยืนเพื่อสังคมโดยรวม
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมได้ที่ www.mqdc.com | Facebook: www.facebook.com/MQDC.For.All.Well.Being | IG: mqdc.official