กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น
"พีทีจี เอ็นเนอยี" ปริมาณการขายที่ยังเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โชว์ market share ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่วนแบ่งการตลาด New high ในไตรมาส 2 แตะ 14%
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 447 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.20% และมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 51,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยบริษัทมีปริมาณการขายเติบโตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1,927 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม และส่วนแบ่งการตลาด(market share) ของช่องทางผ่านสถานีบริการที่ยังคงเติบโต โดยในปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดใหม่สูงสุด (New high market share) อยู่ที่ระดับ 14% อย่างไรก็ตามบริษัทมีการเตรียมแผนบริหารการลงทุน และบริหารค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม สอดคล้องกับค่าการตลาดของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเร่งสร้างกำไรในส่วนของธุรกิจ non-oil ให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2 ยังมีรายได้จากธุรกิจ non-oil ในส่วนของธุรกิจแก๊สแอลพีจี ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจการให้บริการพื้นที่เชิงพาณิชย์ และธุรกิจอื่นๆ ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน ธุรกิจ Non-oil เริ่มมีการเติบโตมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ ยอดขาย และอัตรากำไรขั้นต้น โดยในสัดส่วนของกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-oil เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 10% จากในปีที่แล้วมีสัดส่วนอยู่ที่ 6% ซึ่งการที่บริษัทเร่งเพิ่มสัดส่วนของธุรกิจ Non-oil เพราะธุรกิจดังกล่าวมีมาจิ้นสูงกว่าธุรกิจน้ำมัน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจ non-oil เพิ่มสูงขึ้นเป็นมากกว่า 25% จากปีที่แล้ว ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจ non-oil อยู่ที่ระดับ 22% ดังนั้นบริษัทจึงเดินหน้าเร่งเพิ่มสัดส่วนกำไรของ Non-oil เพื่อช่วยสร้างผลตอบแทนให้เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเน้นการขยายสาขาของธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจ non-oil เฉพาะในพื้นที่ ซึ่งยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง อย่างไรก็ตามบริษัทมีการปรับคาดการณ์จำนวนสาขาของสถานีบริการน้ำมันและแก๊สแอลพีจีอยู่ที่ 1,900 สาขา และจำนวนสาขาของธุรกิจ non-oilอยู่ที่ 500 สาขา ซึ่งรวมร้านสะดวกซื้อ Max Mart, ร้านกาแฟพันธุ์ไทย, ร้านคอฟฟี่เวิลด์, ร้านข้าวแกงครัวบ้านจิตร, ร้านซ่อมบำรุงสำหรับรถบรรทุก Pro Truck และสำหรับรถยนต์ Autobacs โดยบริษัทจะยังขยายสาขาด้วยการเช่าพื้นที่ของสถานีบริการเดิม และเพิ่มการให้บริการด้วยธุรกิจ non-oil ครบวงจร เพื่อบริหารพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้เศรษฐกิจในต่างจังหวัด นอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังคงฟื้นตัวได้อย่างช้า เนื่องจากราคาผลผลิตทางการเกษตรยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน ส่งผลให้บริษัทมีการปรับคาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ 15-20% อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังออกนโยบายในการรักษาเสถียรภาพของราคาผลผลิตทางการเกษตร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และจากปัจจัยดังกล่าวบริษัทจึงวางแผนขยายสาขาในเขตกรุงเทพฯปริมณฑล รวมทั้งหัวเมืองใหญ่ให้มากขึ้น เพื่อสร้างความสมดุลในการกระจายตัวของสถานีบริการ และเพื่อสนับสนุนการต่อยอดในธุรกิจ non-oil ได้อย่างเต็มที่
ทั้งนี้การปรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนของตลาดโลก ยังคงเป็นความท้าทายในครึ่งปีหลัง ทำให้มีบริษัทการปรับคาดว่าEBITDA จะเติบโต 15-20% และบริษัทยังคงเป้าหมายในการมุ่งไปสู่ธุรกิจ non-oil เพื่อการสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและสม่ำเสมอในระยะยาว รวมทั้งยังวางแผนจะขยายพันธมิตรในการทำธุรกิจ เพื่อสามารถเติมเต็มความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร