กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--ควิก โคท โปรดักส์
ควิก โคท โปรดักส์ ชี้อุตสาหกรรมอสังหาฯ เริ่มมีสัญญาณโตต่อเนื่อง กำลังซื้อวัสดุก่อสร้างฟื้นตัวทางบวก เดินหน้าเร่งเพิ่มกำลังการผลิต พร้อมลงทุนขยายโรงงานเพิ่มไลน์ผลิตใหม่ โดยนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในกระบวนการผลิตมากกว่า 60% ตั้งเป้าลดต้นทุนสินค้าและเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิต เชื่อมั่นหลังโรงงานแล้วเสร็จ สามารถชิงส่วนแบ่งการตลาดกลับมาจากวิกฤติสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ พร้อมเปิดตัว 3 แบรนด์สินค้าใหม่ My Loft (ภายใต้คอนเซ็ปต์ DIM ที่จะสร้าง Inspirationจากภายในตัวตนของลูกค้า เจาะลูกค้าใหม่กลุ่ม Home Users พร้อมปล่อย GP100 (ปูนกาวอเนกประสงค์) และดิ่งแดง Premium หรือ CP001P (ปูนฉาบอิฐมวลเบาเพิ่มสารพิเศษ) ลดปัญหารอยแตกร้าว ขยายฐานลูกค้ากลุ่มช่าง เร่งเพิ่มยอดขาย คาดสิ้นปี 2561 ยอดขายแตะ 800ล้านบาท โดยมีโครงสร้างกำไรสูงกว่าเดิม ไม่น้อยกว่า 10% พร้อมตอกย้ำ ความเป็นแบรนด์ปูนฉาบอิฐมวลเบาอันดับหนึ่งในใจช่างของ "ปูนลูกดิ่ง" พร้อมทำกิจกรรม CSR ร่วมกับแบรนด์แอมบาสเดอร์ "แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง"
นายอัครภัทร ทองน้ำตะโก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ควิก โคท โปรดักส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้มองเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างภายในประเทศ ที่เริ่มมีความต้องการเพิ่มขึ้นไปในทิศทางบวกหลังจาก ชะลอตัว มาตั้งแต่ปลายปี 2559 ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน โดยคาดว่ามีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 8-10% ในครึ่งปีหลัง หลังจากมีการอนุมัติโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ภายในประเทศอย่างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายต่าง ๆ เมกะโปรเจกต์ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(EEC) และเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก Special Eastern Economic Corridor zone หรือ โครงการ Eastern Airport City ประกอบกับกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ของภาคเอกชนที่ส่งสัญญาณแสดงความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวการลงทุนทั้งในส่วนของงานก่อสร้างที่อยู่อาศัยอาคารสำนักงาน และโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมกลางน้ำในตลาดวัสดุก่อสร้างอย่าง เหล็ก ซีเมนต์ คอนกรีต ปูนสำเร็จรูป รวมถึงปูนฉาบอิฐมวลเบาด้วย
ทำให้ปีนี้ ควิกโคทฯได้ขยายการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพ ในสายการผลิตเดิมและเริ่มแผนขยายโรงงานเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าทุกกลุ่ม ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า100 ล้านบาท โดยจะมีการนำเอาหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตให้เป็นระบบออโตเมชั่นในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 60% เมื่อเทียบกับการผลิตระบบเดิม เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต ช่วยลดระยะเวลาการผลิตทำให้ผลิตสินค้าได้มากขึ้น และสามารถควบคุมคุณภาพสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนของสินค้าเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว โดยแผนการขยายโรงงานนี้จะแล้วเสร็จในปี 2562 และจะมีความสามารถในการผลิตได้สูงถึง3200 ตัน/วัน หรือกว่า 9 แสนตัน/ปี โดยเพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 10 เท่าตัว
ล่าสุด ควิกโคทฯ ได้เปิดตัว 3 แบรนด์สินค้า ได้แก่ 1) My Loft ปูนฉาบแต่งผิวสไตล์ลอฟท์สำเร็จรูปที่สามารถใช้งานได้ทันที โดยมี Concept ในการสร้างแรงบันดาลใจของผู้ใช้แบบ DIM หรือ DO IT MYSELF ไม่ใช่แค่ DIY อย่างที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มลูกค้ากลุ่มใหม่อย่าง Home users ที่ปัจจุบันมีความนิยมออกแบบตกแต่งบ้านด้วยตัวเองมากขึ้น 2) GP100 ปูนกาวอเนกประสงค์ ที่สามารถใช้เป็นทั้งปูนก่ออิฐมวลเบาและเป็นปูนกาวติดกระเบื้องทั่วไปในตัวเดียวกัน เพื่อเพิ่มคุณประโยชน์การใช้งานให้กับช่างที่ต้องการความสะดวกมากว่าเดิม และ 3) ปูนฉาบมวลเบาดิ่งแดง Premium CP001P สูตรพิเศษที่ช่วยลดการแตกร้าวได้มากถึง 95% สำหรับลูกค้าและผู้ใช้งานที่ต้องการปูนฉาบอิฐมวลเบาเกรดพรีเมี่ยมคุณภาพที่เหนือกว่าเดิม
นอกจากนี้ทางบริษัท ยังได้มีการทำกิจกรรม CSR เพื่อตอกย้ำว่า เป็นแบรนด์ปูนฉาบอิฐมวลเบาอันดับหนึ่งในใจช่าง ด้วยการทำกิจกรรม CSR ร่วมกับแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง "แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง" กับ 3 โครงการดี ๆ ได้แก่ โครงการไม่แตกแยกไม่แตกร้าว ซึ่งเป็น"โครงการอบรมพื้นฐานงานก่อสร้างเบื้องต้นกับปูนลูกดิ่ง" ร่วมกับสถาบันศึกษา 10 สถาบัน อาทิเช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง วิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการสามเสน เป็นต้น โครงการ "ไม่แตกแยกไม่แตกร้าว ซีซั่น 2" เพื่อสร้างการตระหนักรู้ในกลุ่มนักเรียนช่างให้มีความรักความสามัคคี และโครงการประกวดหนังสั้นเพื่อรณรงค์ ต่อเนื่องในการสร้างความปรองดองให้กลุ่มนักเรียนช่าง โดยเชื่อมโยงกับกิจกรรมฝายมีชีวิตที่มุ่งสืบทอดเจตนารมณ์ของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 มาสานต่อในรัชกาลปัจจุบัน โดยยึดหลักการทรงงาน 23 ประการ ที่ทางพนักงานและบริษัทฯ ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติตลอดมา โดยโครงการดังกล่าวจะมีการจัดทำในปี 2561-2562 ที่จะถึงนี้
"จากแผนการลงทุนขยายกำลังการผลิต การเปิดตัวสินค้าใหม่ และการทำกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่องในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดรายได้ที่ 800 ล้านบาทเทียบเท่ากับปีที่ผ่านมา และหลังจากโรงงานใหม่เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าปูนตราลูกดิ่งจะสามารถดึงส่วนแบ่งการตลาดกลับคืนมาในระดับเดิมได้ในปี 2562" นายอัครภัทร กล่าวทิ้งท้าย