กรุงเทพฯ--28 ส.ค.--มีเดีย พลัส คอนเนคชั่น
ปัจจุบันมีเด็กไทยในช่วงอายุ 0-17 ปีกว่า 3 ล้านคนไม่มีโอกาสได้เติบโตและอยู่อาศัยกับพ่อและแม่ซึ่งอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อพัฒนาการของเด็กในระยะยาว
แสนสิริต่อยอดการเป็นพันธมิตรกับยูนิเซฟกว่า 7 ปีด้วยการนำแพล็ตฟอร์มดิจิทัลสร้างแคมเปญระดมทุนออนไลน์ "บ้านแสนธรรมดา" มุ่งส่งต่อความช่วยเหลือเด็กกว่า 3 ล้านคนทั่วไทยที่จะเปลี่ยนความธรรมดาให้เป็นความพิเศษแก่เด็กที่ขาดโอกาส พร้อมส่งเสริมการรับรู้ประเด็นปัญหาเด็กที่ขาดโอกาสทางสังคมแก่ประชาชนทั่วไป โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนภารกิจขององค์การยูนิเซฟประเทศไทยด้านพัฒนาชีวิตเด็กให้มีโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นสุขอย่างยั่งยืนหลังให้ความช่วยเหลือด้านการบริจาคเงินแก่ยูนิเซฟมาตลอด 7 ปี ๆ ละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯรวมแล้วกว่า 7 ล้านเหรียญสหรัฐหรือเกือบ 250 ล้านบาทและประสบความสำเร็จในการจัดทำโครงการต่างๆร่วมกันมาแล้วกว่า 10 โครงการ
นางสิรินทรา มงคลนาวินผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวางแผนองค์กรและพัฒนาความยั่งยืนบริษัทแสนสิริจำกัด (มหาชน)กล่าวว่า"แสนสิริ เป็นองค์กรเอกชนรายแรกที่ทำโครงการ ระดมทุนให้แก่องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย โดยนำแพล็ตฟอร์มดิจิทัลมาใช้ระดมทุนผ่านเครือข่ายออนไลน์ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการบริจาค เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันที่คุ้นชินกับการจับจ่ายใช้สอยผ่านสมาร์ตโฟนหรืออินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาสังคมเน้นการมีส่วนร่วมกับคนจำนวนมากโดยในปี 2561 นี้ถือเป็นวาระครบ 7 ปีในการเป็นพันธมิตรหลักกับองค์การยูนิเซฟ และสนับสนุนกิจกรรมของยูนิเซฟมาโดยตลอด เราจึงตั้งใจริเริ่มจัดทำแคมเปญพิเศษ "บ้านแสนธรรมดา" ผ่านช่องทางที่ให้ทุกคนในสังคมสามารถมีส่วนร่วมในการบริจาคเงินได้ง่ายขึ้น"
แคมเปญ "บ้านแสนธรรมดา" เป็นโครงการระดมทุนออนไลน์ที่เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจของแสนสิริ ในการระดมทุนให้แก่องค์การยูนิเชฟ ประเทศไทย อันเกิดจากจุดยืนด้านความรับผิดชอบทางสังคมของแสนสิริเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ขาดแคลนในประเทศไทย ในปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ที่อาจดูเป็นสิ่งธรรมดา แต่สำหรับน้องๆ ที่ขาดโอกาสแล้ว ถือเป็นความพิเศษมีค่ามายมาย โดยเงินบริจาคจากโครงการ "บ้านแสนธรรมดา" นั้นจะนำไปช่วยเด็กๆใน4 เรื่องหลัก คือ
1. การศึกษา เพิ่มโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพเหมาะสมสำหรับเด็กทุกคน
2. ยุติความรุนแรงช่วยคุ้มครองเด็กให้ปลอดภัยจากความรุนแรงในบ้านและจากสังคมลดการถูกทอดทิ้งและแสวงหาผลประโยชน์รูปแบบต่างๆ
3. ความปลอดภัยป้องกันและตรวจสอบเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเกิดเหตุวิกฤติ และพร้อมให้การช่วยเหลือเด็กและครอบครัวในทุกพื้นที่อย่างทันท่วงที
4. สุขภาพที่ดีการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานจัดหายาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต่างๆ ให้เด็กที่ยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือการศึกษา การยุติความรุนแรง ความปลอดภัย และ ส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งจะช่วยในการเปลี่ยนชีวิตเด็กไทยหลายล้านคนให้ดีขึ้นได้
นายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยกล่าวว่า "ยูนิเซฟมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับแสนสิริในฐานะพันธมิตรหลักอย่างเป็นทางการซึ่งมีเจตนารมณ์เดียวกันตลอด7ปีและจากนี้ต่อไปด้วยแนวคิด"Children are everyone's business" หรือเรื่องของเด็กเป็นเรื่องของเราทุกคนแสนสิริถือเป็นตัวอย่างที่ดีของภาคเอกชนที่มีส่วนร่วมในการสร้างโอกาส ที่เท่าเทียมกันในสังคมโดยเฉพาะแก่เด็กๆที่ขาดแคลนโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติเพื่อช่วยให้เด็กๆได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพของสังคมและสำหรับแคมเปญบ้านแสนธรรมดายูนิเซฟต้องขอขอบคุณ แสนสิริที่ยังคงมุ่งมั่นในการร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตของเด็กทุกคนใน ประเทศไทยและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแคมเปญนี้จะได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนของสังคมต่อไป"
"เป้าหมายของ 'บ้านแสนธรรมดา'นอกจากจะเป็นการระดมทุนจากทุกภาคส่วนในสังคม โดยเริ่มต้นเพียงคนละ 100 บาท เพื่อช่วยกันให้โอกาสแก่เด็กๆที่ขาดแคลนแล้ว เรายังต้องการชี้ให้เห็นถึงปัญหาของเด็กที่ขาดโอกาสในสังคมไทย เพื่อให้เกิดเป็นพลังสังคม ร่วมมือกันลงมือทำนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะเราเชื่อว่าเด็กคือรากฐานของสังคมที่ดีและสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมหรือ Social Change ได้ในอนาคตดังนั้นการได้มอบโอกาสให้เด็กได้มีพื้นฐานคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับเราทุกคน"นางสิรินทรา กล่าวเสริม
การใช้วิธีระดมทุนผ่านช่องทางออนไลน์ครั้งนี้ของแสนสิริ เป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำ Proptech ในวงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยเติมเต็มการใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิทัล นำเทคโนโลยีมาต่อยอดใช้ประโยชน์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมิติใหม่ๆ รวมไปถึงการนำมาใช้ในการดำเนินกิจกรรมความรับผิดชอบทางสังคมขององค์กร
โดยทุกท่านสามารถมีส่วนร่วมในการบริจาคเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ขาดโอกาสได้ โดยคลิกไปที่www.sansiri.com/BaanSanThammadaหรือสแกน QR Code นี้ เพื่อนำไปสู่ช่องทาง การบริจาค
เกี่ยวกับ Sansiri Social Change
ด้วยความมุ่งมั่นในการทำงานของแสนสิริตามแนวคิด 'Constructing Life, not just Buildings'ที่ไม่ได้ต้องการเพียง "สร้างที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุด" แต่ยังต้องการ "สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด" ให้กับสังคมเช่นกันแสนสิริตระหนักดีว่ายังมีเด็กอีกหลายล้านชีวิตที่ได้รับผลกระทบและกำลังประสบปัญหามากมายไม่ว่าจะเป็น ด้านสุขภาพ การศึกษา ความรุนแรงและความปลอดภัยในเด็กซึ่งปัญหาต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่สอดคล้องกับการทำงานเพื่อสังคมของแสนสิริที่มุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือเด็กโดยดำเนินกิจกรรมความรับผิดชอบเพื่อสังคมมากว่า 12 ปี เริ่มต้นจากโครงการแสนสิริอะคาเดมี่และขยายกรอบการทำงานเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนสิทธิเด็กมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น ในปี 2554 องค์การยูนิเซฟประเทศไทยและบริษัทแสนสิริจำกัด (มหาชน) ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการในการพัฒนาความเป็นอยู่ของเด็กและเยาวชนในประเทศไทยและทั่วโลกโดยเน้นเรื่องสุขภาพ การศึกษาและการกีฬาภายใต้แนวคิด"Children are everyone's business" ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างยูนิเซฟและองค์กรธุรกิจในประเทศไทยทั้งนี้แสนสิริและยูนิเซฟได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์ในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมแบบใหม่ที่เรียกว่า"Social Change" ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงแค่ การบริจาคหรือการกุศลแบบครั้งคราวแต่มุ่งเน้นให้องค์กรธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาทั้งกระบวนการโดยเริ่มตั้งแต่การทำความเข้าใจกับปัญหาในทุกมิติการร่วมวางแผนแก้ปัญหาไปจนถึงการทำงานกับทุกภาคฝ่ายทั้งภาครัฐเอกชนและชุมชนอย่างจริงจัง โดยตลอด 7 ปีที่ผ่านมานอกเหนือจากการบริจาคเงินให้ยูนิเซฟ เป็นประจำทุกปีๆละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯรวมแล้วกว่า 7 ล้านเหรียญสหรัฐหรือเกือบ 250 ล้านบาทเพื่อเข้าสู่"กองทุนฉุกเฉิน"ที่ทางยูนิเซฟสามารถนำไปช่วยเหลือเด็กทั้งในไทยและต่างประเทศได้ทันที โดยไม่มีเงื่อนไขและดำเนินโครงการต่างๆร่วมกับยูนิเซฟแล้วกว่า 10 โครงการ
ทั้งยังประกาศนโยบายองค์กรที่เป็นมิตรกับเด็กทำข้อสัญญาคุ้มครองแรงงานเด็กนโยบายไม่ใช้แรงงานเด็กสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กปี 2555 – 2561 แสนสิริร่วมมือกับยูนิเซฟและพันธมิตรในการก่อสร้าง สร้างสถานที่ปลอดภัยในสถานที่ก่อสร้างGood Space กว่า 40 แห่งใน 13 จังหวัดส่งเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาเข้าโรงเรียนสนับสนุนให้เข้าถึงระบบสุขภาพด้วยการผลักดันให้เด็กๆได้รับวัคซีนขั้นพื้นฐานปัจจุบันเรามีเด็กในไซต์ก่อสร้างที่ผ่านการเข้าร่วมโครงการ The Good Space กว่า 700 คนต่อปีพาเด็กเข้ารับวัคซีนตามเกณฑ์กว่า 200 คนต่อปีและส่งเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาที่โรงเรียนวัดเจ็ดยอดจังหวัดเชียงใหม่กว่า50 คน