กรุงเทพฯ--28 ส.ค.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์
บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลประกอบการระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ปริมาณการขายมีจำนวน 281,000 ตัน ตัวเลขยอดขายสุทธิ 5,443 ล้านบาท สูงขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาสนี้ยังคงทำกำไรสุทธิก่อนหักภาษีได้ 75 ล้านบาท สูงกว่ากำไรสุทธิก่อนหักภาษีในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้แม้ว่าความต้องการ ในประเทศจะยังคงชะลอตัวแต่ปริมาณการส่งออกสินค้าไปยังประเทศอินเดีย กัมพูชา และ ลาวที่สูงขึ้น พร้อมเปิดตัวกลยุทธ์การผลิตและจำหน่ายสินค้าเหล็กนวัตกรรม "3 เซฟ" ด้วย 3 ผลิตภัณฑ์ เหล็กเส้นข้ออ้อยแรงดึงสูง SD50 เหล็กเส้นเหนียวพิเศษต้านแผ่นดินไหว และเหล็กเส้นตัดและดัดสำเร็จรูป (Cut & Bend) ช่วยเซฟต้นทุนการก่อสร้าง เซฟชีวิตให้ปลอดภัย และ เซฟเวลาในการก่อสร้าง เพื่อตอบสนองการลงทุนของภาครัฐ และภาคเอกชน พร้อมตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปีการเงิน 2562 จะผลักดันยอดขายเหล็กเส้นข้ออ้อยแรงดึงสูง SD50 เหล็กเส้นเหนียวพิเศษต้านแผ่นดินไหว และเหล็กเส้นตัดและดัดสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นรวมเป็น 220,000 ตัน
มร.ราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยว่า ปริมาณการขายในไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณการเงินของบริษัทระหว่างเดือนเมษายน – มิถุนายน มีจำนวน 281,000 ตัน ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมีปริมาณการขาย 316,000 ตัน แต่ยังคงมีปริมาณการขายที่สูงกว่าไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา จำนวนร้อยละ 2 โดยมีตัวเลขยอดขายสุทธิ 5,443 ล้านบาท สูงขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาสนี้ยังคงทำกำไรสุทธิก่อนหักภาษีได้ 75 ล้านบาท และกำไรสูงสุดหลังหักภาษี 56 ล้านบาท ในขณะที่ EBITDA (Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation and Amortization)ในส่วน EBITDA อยู่ที่ 216 ล้านบาท สูงขึ้นร้อยละ 56 เมื่อเทียบกับปีก่อน
ทั้งนี้ แม้ว่าความต้องการเหล็กเส้นและเหล็กลวดสำเร็จรูปในประเทศจะยังคงชะลอตัว จากบรรยากาศภาพรวมของตลาดที่ซบเซา อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขายสินค้าภายในประเทศที่ลดลงได้ถูกชดเชยด้วยปริมาณการส่งออกสินค้าไปยังประเทศอินเดีย กัมพูชา และลาวที่สูงขึ้น นอกจากนี้โดยจะเห็นได้ว่าราคาขายเหล็กก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อันเกิดจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้สำหรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจยังคงไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กไทย มร.ราจีฟ กล่าว
ด้าน นายชัยเฉลิม บุญญานุวัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ – การตลาดและการขาย กล่าวว่า ทาทา สตีล (ประเทศไทย) เตรียมชูกลยุทธ์การผลิตและจำหน่ายสินค้าเหล็กนวัตกรรม "3 เซฟ" ด้วย 3 ผลิตภัณฑ์ เหล็กเส้นข้ออ้อยแรงดึงสูง SD50 เหล็กเส้นเหนียวพิเศษต้านแผ่นดินไหว และเหล็กเส้นตัดและดัดสำเร็จรูป (Cut & Bend) ช่วยเซฟต้นทุนการก่อสร้าง เซฟชีวิตให้ปลอดภัย และ เซฟเวลาในการก่อสร้าง เพื่อตอบสนองการลงทุนของภาครัฐ และภาคเอกชน ได้แก่
1) เหล็กเส้นข้ออ้อยแรงดึงสูง SD50 โดยเหล็กเส้นข้ออ้อยแรงดึงสูง SD50 มีกำลังรับแรงมากกว่าเหล็ก SD40 ทั่วไป จึงช่วย เซฟต้นทุนการก่อสร้าง สามารถลดปริมาณเหล็กที่ต้องใช้ในการก่อสร้างได้มากกว่า 20% อีกทั้งยังช่วยเพิ่มตัวเลือกด้านการออกแบบที่หลากหลาย ส่งเสริมการออกแบบอาคารให้ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งมีให้บริการตามความต้องการครบทุกขนาด ตั้งแต่ขนาด 10 – 40 มิลลิเมตร
2) เหล็กเส้นเหนียวพิเศษต้านแผ่นดินไหว ทาทา ทิสคอน เอส ซุปเปอร์ ดั๊กไทล์ (SD40S, SD50S) ที่มีคุณสมบัติเหนียวกว่า สามารถดูดซับพลังงานจากแผ่นดินไหวได้มากกว่าเหล็กเส้นเกรดปกติอื่นๆ ช่วยเซฟชีวิต เพิ่มความมั่นใจด้านความปลอดภัยแก่ผู้อยู่อาศัย โดยเหล็กเส้นเหนียวพิเศษต้านแผ่นดินไหวนี้ มีคุณสมบัติเทียบเท่ามาตรฐานสากล เช่น BS (อังกฤษ), SS (สิงคโปร์), EC2 (ยุโรป) และ ASTM (สหรัฐอเมริกา)
3) เหล็กเส้นตัดและดัดสำเร็จรูป เป็นการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จด้วยการตัดและดัดเหล็กสำเร็จรูปตามแบบที่ลูกค้าต้องการ ช่วยเซฟเวลาในการก่อสร้าง ไม่ต้องรอแรงงานตัดและดัดเหล็กที่หน้างาน อีกทั้งยังช่วยลดการสูญเสียเหล็กที่ถูกตัดทิ้งเป็นเศษเหลือใช้โดยเปล่าประโยชน์
ด้วยสินค้าเหล็กนวัตกรรม "3 เซฟ" ทั้งเหล็กเส้นข้ออ้อยแรงดึงสูง SD50 เหล็กเส้นเหนียวพิเศษต้านแผ่นดินไหว และเหล็กเส้นตัดและดัดสำเร็จรูป จะสามารถตอบสนองการลงทุนโครงสร้างต่างๆ ช่วยให้ผู้รับเหมาโครงการทั้งภาคเอกชนรวมถึงภาครัฐได้ใช้เหล็กคุณภาพมาตรฐานสูง ประหยัดการใช้ทรัพยากร ลดต้นทุนในส่วนของการก่อสร้าง ช่วยในการประหยัดพลังงาน และทำให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น ทั้งนี้ ยังเชื่อมั่นว่าภาพรวมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากการขยายการลงทุนในโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก อีกทั้งการเร่งรัดการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคต่างๆ โดยภาครัฐจะสามารถนำนวัตกรรมเหล็ก "3 เซฟ" ไปใช้ช่วยยกมาตรฐานการผลิตในอุตสาหกรรมการก่อสร้างให้สูงขึ้นอีกด้วย พร้อมตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปีการเงิน 2562 จะผลักดันยอดขายเหล็กเส้นข้ออ้อยแรงดึงสูง SD50 เหล็กเส้นเหนียวพิเศษต้านแผ่นดินไหว และเหล็กเส้นตัดและดัดสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นรวมเป็น 220,000 ตัน นายชัยเฉลิม กล่าวทิ้งท้าย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ทาทา สตีล มีโรงงานในเครือ 3 โรงงาน ซึ่งได้แก่ บริษัท เอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ("NTS") ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี บริษัท เหล็กก่อสร้างสยาม จำกัด ("SCSC") ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง และบริษัท เหล็กสยาม (2001) จำกัด ("SISCO") ซึ่งแต่ละโรงงานมีศักยภาพชัดเจน และผลิตสินค้าแตกต่างกันตามความถนัด รวมกำลังการผลิตกว่า 1.7 ล้านตันต่อปี ตลอดจนเป็นองค์กรที่ยึดมั่นในนโยบายบรรษัทพลเมืองดี ให้ความสำคัญต่อพนักงาน ชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าลดอุบัติเหตุจนถึงขั้นหยุดงานให้เป็นศูนย์ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับรางวัล "Thailand Sustainability Investment Award" (รางวัลรายชื่อหุ้นยั่งยืน) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ "Sustainability Report Award 2017" (รางวัลรายงานความยั่งยืน ปี 2560) ในระดับ "Recognition" จากสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสถาบันไทยพัฒน์
นอกจากนี้ บริษัท เอ็น.ที.เอส. สตีลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (NTS) ในเครือของ ทาทา สตีล ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นประจำปี 2560 ประเภทการบริหารความปลอดภัย จากนายกรัฐมนตรี และได้เลื่อนระดับโรงงานสีเขียวอยู่ในระดับ 4 (วัฒนธรรมสีเขียว) จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งรางวัล "โครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเหมืองแร่ให้มีมาตรฐานสากลเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคม ปี 2560" จากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ทาทา สตีล ได้จัดงานแถลงผลประกอบการและแนะนำสินค้าใหม่ เมื่อเร็วๆนี้ ณ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อาคารรสา ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ สำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการด้านการก่อสร้างที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายสื่อสารและกิจกรรมองค์กร โทรศัพท์ 02-937-1000 หรือเข้าไปที่ www.tatasteelthailand.com
เกี่ยวกับทาทา สตีล (ประเทศไทย)
บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ "TSTH" ประกอบด้วย สามบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท เอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ("NTS") ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี บริษัท เหล็กก่อสร้างสยาม จำกัด ("SCSC") ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง และบริษัท เหล็กสยาม (2001) จำกัด ("SISCO") ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็กทรงยาวรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีกำลังการผลิต เหล็กแท่ง 1.4 ล้านตัน และเหล็กสำเร็จรูป 1.7 ล้านตัน ประกอบด้วย เหล็กเส้นก่อสร้าง เหล็กลวด เหล็กรูปพรรณขนาดเล็ก เหล็กเพลา และเหล็กเส้นตัดและดัดสำเร็จรูป โดยจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านเครือข่ายผู้จำหน่ายสินค้าทั่วประเทศ รวมถึงส่งออกเหล็กเส้น และเหล็กลวด ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก