กรุงเทพฯ--3 ก.ย.--คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
14.30 น. 2 ก.ย. 2561 ที่ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้แสดงความเห็นหลังจากงบประมาณปี พ.ศ. 2562 จำนวน 3.3 ล้านล้านบาทผ่านการอนุมัติโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงว่า เป็นกระบวนการจัดทำงบประมาณที่ขาดการตรวจสอบถ่วงดุล ขาดการมีส่วนร่วมและไม่ได้เกิดจากความเห็นชอบของประชาชนผ่านผู้แทนอันชอบธรรม ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการกำหนดงบประมาณและการเก็บภาษี (Budget and Taxation without Representation) สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ไม่ได้ทำหน้าที่ในการกลั่นกรองกฎหมายงบประมาณจึงมีฐานะเป็นเพียง "สภาตรายาง" ให้รัฐบาล คสช เท่านั้น จึงเสนอให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งทำการทบทวนและแก้ไขงบประมาณปี 2562 เสียใหม่ เนื่องจากพบว่า การจัดสรรงบประมาณปี 2562 มีสิ่งที่ต้องแก้ไขหลายประการด้วยกัน มีงบประมาณรายจ่ายสูงถึง 3.3 ล้านล้านบาทและมีการทำขาดดุลงบประมาณสูงถึง 4.5 แสนล้านบาท ควรลดการขาดดุลลงเนื่องจากมีความจำเป็นน้อยลงในการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและมีความจำเป็นในการลดความเสี่ยงของวิกฤติฐานะการคลังในอนาคต นอกจากนี้อาจจะเกิดสภาวะที่การใช้จ่ายภาครัฐอาจไปแย่งเม็ดเงินจากภาคเอกชนและดันอัตราดอกเบี้ยในระบบให้สูงขึ้นได้ ทำให้ผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใช้จ่ายของภาครัฐถูกหักล้างด้วยการลดลงของการลงทุนภาคเอกชนอันเป็นผลจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น หรือ ที่เรียกกันว่า เกิด Crowding out Effect นั่นเอง รัฐบาลหลังการเลือกตั้งควรทบทวนโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยเงินกู้จำนวนมากและมีความเสี่ยงต่อฐานะทางการคลังและควรทบทวน "สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากเกินพอดี" ทั้งหลายเพื่อดึงดูดการลงทุนของต่างชาติที่ทำให้รัฐสูญเสียเงินรายได้ภาษีจำนวนมาก กำหนดกรอบความยั่งยืนทางการคลังเพื่อให้ประเทศสามารถจัดทำงบประมาณสมดุลได้ภายในห้าปีข้างหน้าหลังจากที่ได้มีการจัดทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550
ต้องมีการบริหารการชำระหนี้สาธารณะให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวของการชำระหนี้ในอนาคตจนกระทบสภาพคล่องในอนาคต รายจ่ายประจำยังคงเพิ่มขึ้น 4-5% ขณะที่รายจ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่มเพียง 1% สะท้อนยังไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างงบประมาณแต่อย่างใดเพราะรายจ่ายเพื่อการลงทุนยังคงมี
สัดส่วนเพียงแค่ 22% ซึ่งควรปรับโครงสร้างให้เพิ่มเป็น 30% ของงบประมาณรายจ่ายและต้องทำควบคู่กับการปฏิรูประบบราชการและรัฐวิสาหกิจ รัฐบาล และ สนช ต้องชี้แจงต่อสาธารณชนด้วยว่า งบประมาณกลาโหมงบความมั่นคงที่เพิ่มขึ้น 20-21% นั้นมีความจำเป็นอย่างไร ทั้งที่ภัยคุกคามทางด้านความมั่นคงลดลงและไม่มีสัญญาณใดๆที่จะเกิดสงครามในภูมิภาคนี้ กองทัพได้รับการจัดสรรงบประมาณตลอดระยะเวลาสี่ปีของรัฐบาล คสช 9.38 แสนล้านบาท ขอเสนอให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งยกเลิกการสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่จำเป็นและไม่มีคุณภาพ โดยนำเงินมาจัดสรรเพื่อการเพิ่มสวัสดิการให้นายทหารชั้นผู้น้อย ลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศและลงทุนทางด้านการฝึกอบรมให้กับนายทหาร หรือ โยกงบประมาณไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนหรืออุปกรณ์ทางการศึกษาสำหรับโรงเรียนที่ขาดแคลนจะดีกว่า ขณะเดียวกัน สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจในระดับสูงติดอันดับโลก แรงงานระดับล่างและเกษตรกรรายย่อยมีความยากลำบากทางเศรษฐกิจ มีสัดส่วนของหนี้สินต่อรายได้สูงมาก จึงควรจัดทำงบประมาณมุ่งเป้าหมายไปกลุ่มคนผู้มีรายได้น้อยและคนยากจนเพิ่มขึ้น ขณะที่การจัดซื้ออาวุธจากต่างประเทศไม่ก่อให้เกิดผลผลิตใดๆในระบบเศรษฐกิจและไม่ก่อให้เกิดสวัสดิการใดๆต่อประชาชน มีขนาดของงบกลางที่มากขึ้นอย่างชัดเจนสูงเกือบห้าแสนล้านบาท และงบกลางมักไม่มีรายละเอียดรายการการใช้จ่ายทำให้เงินสาธารณะ (Public Money) อาจใช้จ่ายอย่างไม่มีประสิทธิภาพ รั่วไหลได้ง่ายหรือใช้ไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์หรือเป้าหมายได้ หากมีการใช้จ่ายงบก้อนนี้ควรชี้แจงรายละเอียดต่อประชาชนและควรผ่านการพิจารณาโดยรัฐสภาหลังการเลือกตั้งด้วย ในส่วนของงบกลางที่เป็นค่าใช้จ่ายตามสิทธิของบุคลากรภาครัฐ เช่น เงินเลื่อนขั้นเลื่อนอันดับ เงินช่วยเหลือข้าราชการ ไม่ควรถูกกำหนดไว้ในงบกลางเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณ ต้องจัดทำเป็นงบประจำสามารถประมาณการและสามารถทำแผนการใช้จ่ายได้ หลังจากงบประมาณผ่านการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว ได้มีรายการเพิ่มเติมสูงสุด 3 อันดับแรกคือ 1.มาตรา 4 งบฯกลางตั้งเพิ่มขึ้น 9 พันล้านบาท สำหรับแผนงานเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 2.มาตรา 30 รัฐวิสาหกิจ ตั้งเพิ่มขึ้น 7.2 พันล้านบาท สำหรับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ใช้ในโครงการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ ธกส. และสถาบันเกษตรกร และ 3.มาตรา 34 กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน 2.5 พันล้านบาท สำหรับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ส่วนรายการเพิ่มเติมจำนวนมากที่น่าสนใจ เช่น มาตรา 51 แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตั้งเพิ่มขึ้น 1.8 พันล้านบาท สำหรับโครงการปรับปรุงชลประทาน โครงการจัดหาแหล่งน้ำเพิ่มพื้นที่ชลประทาน และโครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ, มาตรา 7 กระทรวงกลาโหม ตั้งเพิ่มขึ้นอีก 307 ล้านบาท สำหรับสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม เงินอุดหนุนการบริหารองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก 138 ล้านบาท กับ กองทัพบก ด้านการเสริมสร้างกำลังกองทัพ 169 ล้านบาท
การจัดทำงบประมาณขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและพรรคการเมืองต่างๆที่ต้องทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไปหลังการเลือกตั้งและต้องใช้งบประมาณปี 2562 ทำให้โดยภาพรวมแล้วการจัดทำงบประมาณปี 2562 ก่อนประเทศไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตยยังไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วม (Participation) ความโปร่งใส (Transparency) ที่เน้นการตรวจสอบถ่วงดุล ความรับผิดชอบ (Accountability) ความชอบธรรมทางการเมือง (Political Legitimacy) เน้นประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficiency and Effectiveness) ทั้งหมดนี้ เรียกว่า หลักธรรมาภิบาลในการจัดทำงบประมาณให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ประเทศและการปฏิรูป
ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวอีกว่า ส่วนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในงบประมาณก็เป็นยุทธศาสตร์ที่คิดแบบราชการ ไม่ได้ผนวกเอาวิสัยทัศน์ระยะยาวเข้าไปด้วยเพื่อให้ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ระดับปานกลาง แต่ยุทธศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นยุทธศาสตร์พื้นฐานเหมือนเช่นยุทธศาสตร์งบประมาณทุกปี ไม่มีอะไรใหม่ อาจไม่สามารถตอบสนองต่อพลวัตของเทคโนโลยีใหม่ที่พลิกผันระบบเศรษฐกิจ ระบบการผลิต ระบบการเงินและระบบการเมืองได้ดีนัก รวมทั้ง ยังติดกรอบคิดแบบราชการ ตนจึงมีความเห็นว่าควรจัดทำงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์โดยกำหนดไว้ 10 ยุทธศาสตร์ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่หนึ่ง ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างอำนาจและส่งเสริมประชาธิปไตยให้เข้มแข็งมั่นคง
ยุทธศาสตร์ที่สอง ยุทธศาสตร์การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนโดยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเอา "คุณภาพชีวิตของพลเมือง" เป็นศูนย์กลาง
ยุทธศาสตร์ที่สาม ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงและ Greater Thailand/New Siam ยุทธศาสตร์นี้จะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ความมั่นคงของรัฐบาล
ยุทธศาสตร์ที่สี่ ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและเครือข่ายความร่วมมือ ยุทธศาสตร์ลดอำนาจการผูกขาด สร้างความเป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ เพิ่มการแข่งขัน เสรีภาพในการประกอบการ
ยุทธศาสตร์ที่ห้า ยุทธศาสตร์ด้านลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาค ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม
ยุทธศาสตร์ที่หก ยุทธศาสตร์พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัยและการปรับโครงสร้างประชากรให้เหมาะสม
ยุทธศาสตร์ที่เจ็ด ยุทธศาสตร์การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรมและการเมือง
ยุทธศาสตร์ที่แปด ยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และ ภาคการเมือง
ยุทธศาสตร์ที่เก้า ยุทธศาสตร์ศูนย์กลางอาหาร การท่องเที่ยว และบริการทางการแพทย์ของโลก และ ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย
ยุทธศาสตร์ที่สิบ ยุทธศาสตร์บูรณาการสู่การเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค
การจัดทำงบประมาณก็ต้องเน้นการกระจายอำนาจทางการคลังอย่างแท้จริง เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถมีส่วนสำคัญในการจัดการการศึกษา ทรัพยากรของชุมชน การกระจายอำนาจทางการคลังและการจัดทำงบประมาณแบบนี้ จะนำไปสู่ การเพิ่มอำนาจประชาชนและลดอำนาจรัฐนั่นเอง ปรับเปลี่ยนการจัดสรร
งบประมาณเสียใหม่ให้ลงสู่พื้นที่และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนในการกำหนดเป้าหมายด้านคุณภาพชีวิตเพื่อให้ทุกคนมีหลักประกันในชีวิต นอกจากนี้งบประมาณปี 2562 เป็นงบประมาณแผ่นดินในช่วงรอยต่อของระบอบรัฐบาล คสช กับ ระบอบรัฐบาลเลือกตั้ง จึงต้องมีการกำหนดให้ระบบตรวจสอบงบประมาณ และ การกำหนดตัวชี้วัดที่ทำให้เกิดการทำงานต่อเนื่องด้วย ลดปัญหางบประมาณค้างท่อแล้วมาเร่งรัดใช้จ่ายในช่วงปลายปีงบประมาณทำให้มีการใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ปัญหาการของบประมาณมากเกินจริงของหน่วยราชการและการบริหารจัดการกองทุนนอกงบประมาณต้องบริหารจัดการให้ดี
งบประมาณยังไม่ได้เน้นย้ำ บทบาทการถ่ายโอนรายได้ (Redistribution Policy) ผ่านเครื่องมือภาษีและการจัดสรรสวัสดิการให้ผู้มีรายได้น้อยอย่างบูรณาการและเชื่อมโยงกันเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ข้อเท็จจริงของประเทศ ก็คือ เด็กกว่า 40% ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เด็กไทย 1 ใน 5 ของเด็กก่อนวัยเรียน มีพัฒนาการต่ำกว่าวัย 2/3 ของครอบครัวไทยไม่สามารถมีเงินส่งลูกเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้ มีความไม่เสมอภาคทางการศึกษาระหว่างเมืองใหญ่กับชนบทสูงมาก ทรัพยากรมนุษย์ที่อ่อนแอย่อมไม่สามารถแบกรับภาระที่มากขึ้นของโครงสร้างสังคมผู้สูงอายุในอนาคตได้ดีนัก การปฏิรูปการศึกษาที่ล้มเหลวในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เกิดต้นทุนค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10-11% ของจีดีพี
การจัดสรรงบประมาณต้องเป็นไปตามความสำคัญและความเร่งด่วนของกิจกรรม เช่น รัฐบาลต้องตอบให้ได้ว่า งบประมาณของกระทรวงกลาโหมในส่วนในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์นั้นมีความสำคัญหรือความจำเป็นเร่งด่วนอย่างไรเมื่อเทียบกับ งบประมาณในการลงทุนเพื่อการบริหารจัดการน้ำ หรือ งบประมาณเพื่อสวัสดิการรักษาพยาบาลและสวัสดิการการศึกษาของประชาชนที่ถูกปรับลดลง และรายจ่ายทางการศึกษาสามารถปรับรูปแบบให้เป็นเงินทุนสำหรับผู้เรียนไปเลือกซื้อบริการจากรัฐหรือเอกชนก็ได้ เป็นการเปลี่ยนจาก Supply-side financing เป็น Demand-side financing สำหรับการใช้จ่ายทางการศึกษา เช่นเดียวกับรายจ่ายงบประมาณทางด้านสวัสดิการสุขภาพ ภาครัฐใช้ซื้อบริการ (โดยผู้ผลิตอาจเป็นภาครัฐหรือเอกชนก็ได้) สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและทำให้การใช้งบประมาณเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ผศ. ดร. อนุสรณ์ กล่าวถึง ข้อเสนอในการปฏิรูประบบงบประมาณ ว่า เมื่อประเทศไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตยแล้ว ขอเสนอให้ ภาคประชาชน ภาควิชาการ ภาคเอกชน สามารถมีส่วนร่วมในการนำเสนอ งบประมาณของประชาชน (People Budget) ได้ โดยใช้แนวทางการจัดสรรงบประมาณแบบเพิ่มอำนาจประชาชน (People Empowerment) เสนอให้มีจัดตั้งคณะกรรมการบริหารงบประมาณที่มีตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ ซึ่งโครงสร้างปัจจุบันจะมีแต่ภาคราชการและภาคการเมือง และ ควรเพิ่มตัวแทนของภาคประชาชนในคณะกรรมการพิจารณางบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและระบบตรวจสอบการใช้งบประมาณ
ขอให้มีการพิจารณาปรับเปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณแบบ Supply-side โดยงบประมาณฐานะกรม ส่วนราชการเป็นผู้รับงบประมาณ เป็น การจัดสรรแบบ Demand-side เน้นส่งงบประมาณไปที่ประชาชนโดยตรงผ่านกลไกกองทุนหมู่บ้าน หรือ โครงการ SML ที่ประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรงในการบริหารจัดการงบประมาณ นอกจากนี้ควรจะมีการพิจารณาเพื่อจัดตั้งหน่วยงานติดตามและประเมินผลงบประมาณภายใต้รัฐสภาไทยเพื่อเกิดการบริหารจัดการงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นกลไกในการสะท้อนความต้องการของประชาชน