กรุงเทพฯ--5 ก.ย.--บล.ทรีนีตี้
ทรีนีตี้ มองหุ้นเดือนกันยายนแกว่งออกด้านข้าง โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงมองไทยเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยโดยเปรียบเทียบ ถึงแม้จะมีปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ ทั้งความผันผวนในประเทศเกิดใหม่ และประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ แนะกลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบแนวต้าน-แนวรับ มองกลุ่มหุ้นปันผลสูงที่ราคายังคง Laggard เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินทิศทางตลาดหุ้นเดือนกันยายนว่า SET Index จะปรับตัว Sideways ถึง Sideways up โดยมองกรอบแนวต้านไว้ที่ 1,740 และ 1,770 จุด ส่วนกรอบแนวรับอยู่ที่ 1,700 และ 1,670 จุด
สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในเดือนกันยายนนี้ ปัจจัยบวกคือผลดีของการจัดงาน Thailand Focus ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ที่คาดว่าจะช่วยผลักดัน Sentiment หรือบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้ จากการศึกษาของทรีนีตี้นับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา พบว่าในช่วงเวลา 1 เดือนหลังจากงานดังกล่าวสิ้นสุดลง SET Index มักปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยราว 3% และนักลงทุนต่างชาติมักซื้อสุทธิหุ้นไทยเฉลี่ยราว 10,000 ล้านบาท
โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการเก็งกำไรตามธีมดังกล่าว ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (AMATA, WHA) ที่อาจได้ Sentiment เชิงบวกจากโครงการ EEC และภาวะการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการออกมาตรการเก็บภาษี 15% บนรายได้ดอกเบี้ยของกองทุนตราสารหนี้ ที่อาจทำให้เม็ดเงินบางส่วนไหลออกจากกองทุนตราสารหนี้ เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น โดยมองกลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์สำคัญได้แก่กลุ่มหุ้น Income stock ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นที่จ่ายผลตอบแทนเงินปันผลในระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีความผันผวนของราคาในระดับต่ำ ทั้ง Infrastructure Fund / Property fund / REIT รวมไปถึงหุ้นสามัญอื่นๆที่มีคุณลักษณะดังกล่าว อาทิเช่น RATCH, ASP, INTUCH
ปัจจัยบวกสำคัญในเดือนนี้อีกประเด็นคือ มุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงมองว่าไทยเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยโดยเปรียบเทียบจากเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ความผันผวนใดๆในต่างประเทศ นักลงทุนกลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะโยกย้ายเงินเข้าสู่ตลาดทุนไทยเช่นกัน ทั้งนี้ ในรอบ 1 เดือนล่าสุด พบว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยไปกว่า 70,000ล้านบาทแล้ว ส่งผลให้เงินบาทเป็นสกุลเงินประเทศเกิดใหม่ที่ปรับตัวแข็งค่ามากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของปัจจัยเสี่ยงเดือนนี้ นายณัฐชาต กล่าวว่า ยังคงอยู่ที่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ถึงแม้ว่า ขณะนี้ความกังวลสงครามการค้าอาจลดลงในช่วงสั้น จากการที่สหรัฐฯกับเม็กซิโกบรรลุข้อตกลงทวิภาคี ซึ่งจะปูทางไปสู่การปรับปรุงข้อตกลงการค้า NAFTA แต่การเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับจีนนั้นยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร จนทำให้ล่าสุดผู้ประกอบการทั่วโลกเริ่มชะลอการผลิตลง สะท้อนจากดัชนี Global PMI ที่ ณ ขณะนี้อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี โดยจากการศึกษาของทรีนีตี้พบว่า ดัชนี Global PMI นี้มักเป็นดัชนีชี้นำ Performance ของดัชนี MSCI EM ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีความผันผวนที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ อาทิ ตุรกี อาร์เจนติน่า แอฟริกาใต้ อินโดนีเซีย ซึ่งหากปะทุขึ้นเมื่อใด อาจส่งผลกดดันเชิง Sentiment ต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ได้ จึงแนะนำให้ติดตามเครื่องชี้ความเสี่ยงต่างๆ เช่น สกุลเงินต่างๆ Bond yield และ CDS Spread เป็นต้น
รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงในประเทศคือประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ถูกปรับลดลงเล็กน้อย ภายหลังจากที่ บจ.รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/61 เสร็จสิ้น ส่งผลให้ SET Index ขาดปัจจัยสนับสนุนในเชิงของ Fundamental และทำให้การปรับตัวขึ้นของดัชนี จะมาพร้อมกับ PE ที่สูงขึ้น สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือนกันยายน นายณัฐชาตแนะนำนักลงทุนที่ถือหุ้นมาก่อนหน้านี้ให้ทยอยขายทำกำไรที่กรอบแนวต้าน 1,740 จุดและ 1,770 จุดตามลำดับ ส่วนผู้ที่ต้องการเข้าสะสม ให้รอจังหวะดัชนีอ่อนตัวลงสู่แนวรับ 1,700 และ 1,670 จุด
ทั้งนี้ จากการที่ทรีนีตี้มีมุมมองว่ากนง.จะยังคงดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปีนี้ รวมไปถึงปัจจัยการเก็บภาษี 15% บนรายได้ดอกเบี้ย ที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ล่าสุด ทำให้มองว่ากลุ่มหุ้นปันผลสูงยังคงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการเข้าลงทุนหากดัชนีมีการย่อตัวระหว่างทาง โดยแนะนำให้โฟกัสไปยังหุ้นในดัชนี SETHD (SET High Dividend Index) ที่ยังคงปรับตัว Laggard ตลาดนับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อาทิเช่น BBL, LH, TISCO