กรุงเทพฯ--7 ก.ย.--อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น
ท่ามกลางโครงการประกวดสำหรับเยาวชนที่จัดขึ้นมากมาย มีเพียงไม่กี่โครงการที่ยืนหยัดจัดต่อเนื่อง จนเป็นที่จดจำ หนึ่งในนั้นคือโครงการ กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว ของธนาคารกรุงไทย ที่จัดต่อเนื่องปีที่ 12 โดยได้รับ การตอบรับเพิ่มขึ้นทุกปี สำหรับปีนี้มีนักเรียนพร้อมใจกันส่งโครงงานเข้าประกวดมากถึง 268 ทีม
จุดเด่นที่ทำให้ กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว เป็นที่สนใจของครูและนักเรียนทั่วประเทศ มาจากเจตนารมณ์ดีๆ ของโครงการที่ต้องการหล่อหลอมให้เยาวชนมีความรู้คู่จริยธรรมและร่วมกันพลิกฟื้นชุมชนที่ตนเองอาศัยอยู่ด้วย หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งประสบการณ์ดีๆ ที่นักเรียนได้รับจากกิจกรรม ต้นกล้าแคมป์
นางศิริพร นพวัฒนพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า "ต้นกล้าแคมป์เป็นกิจกรรม ที่ธนาคารกรุงไทยจัดขึ้นให้กับทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ทฤษฎีและได้ทดลองปฏิบัติจริงในการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงการดำเนินโครงงาน ปีนี้เราจัดที่ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ นครนายก เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน ที่นี่เป็นศูนย์นิทรรศการที่รวบรวมข้อมูลและกิจกรรมเกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ทั้งการทำสบู่ แชมพู การผสมดิน ทำปุ๋ย สร้างบ้านดิน สีข้าวด้วยมือ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ด้านการเงิน ให้คำปรึกษาในการดำเนินโครงงาน และแนะนำเทคนิคการนำเสนออย่างมืออาชีพ กิจกรรมตลอดทั้ง 4 วันล้วนมีคุณค่า เป็นประสบการณ์ที่ดี และเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของนักเรียนเอง รวมทั้งเป็นประโยชน์ในการพัฒนาโครงงาน เข้าประกวดด้วย ซึ่งทั้ง 15 ทีมนี้จะนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในการดำเนินโครงงาน และนำเสนอต่อกรรมการคัดเลือก ในรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งเราเชื่อว่าจะได้เห็นโครงงานดีๆ จากการร่วมคิดร่วมทำของนักเรียน ในการพลิกฟื้นชุมชนให้แข็งแรงอย่างยั่งยืนด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อยากให้ทุกคนติดตามผลงานของน้องๆ เพราะบางโครงงานสามารถเป็นต้นแบบให้ผู้ที่สนใจนำไปปรับใช้ในชุมชนของตัวเองได้ด้วย"
สำหรับความคิดเห็นของนักเรียนที่ร่วมกิจกรรมต้นกล้าแคมป์มีความแตกต่าง หลากหลายมุมมอง โดย น้องทัด - ธีระพงษ์ กางไธสง จากโรงเรียนพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ แสดงความคิดเห็นว่า "ต้นกล้าแคมป์เป็นกิจกรรมที่ดี ทำให้ผมมีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพี่ๆ ที่ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต โปรแกรมการฝึกปฏิบัติตลอดทั้ง 4 วันน่าสนใจมาก ผมสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิต ได้หลายอย่าง บางอย่างจะนำไปใช้กับโรงเรียน อย่างเรื่องการทำน้ำหมักชีวภาพ ซึ่งโรงเรียนของผมกำลังจะทำกิจกรรม ให้นักเรียนทำน้ำหมักชีวภาพออกจำหน่าย ผมก็จะนำความรู้ที่ได้ฝึกจากที่นี่ไปทำที่โรงเรียน นอกจากนี้ ความรู้เรื่องการเงินที่พี่จากธนาคารกรุงไทยสอน ก็เป็นแนวคิดที่เป็นประโยชน์ให้ผมนำไปบริหารจัดการเงินได้"
ส่วน น้องเจินเจิน - ญาณินดา เตียวอนันต์ จากโรงเรียนสตรีพัทลุง จังหวัดพัทลุง เล่าว่า "หนูคิดว่าตลอด 4 วันที่อยู่ที่นี่เป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก หนูโชคดีที่มีโอกาสเข้าต้นกล้าแคมป์ เพราะหนูได้ประโยชน์จากกิจกรรมนี้มาก ได้รู้จักเกี่ยวกับโครงการของในหลวงรัชกาลที่ 9 มากขึ้น ได้รับรู้ว่าพระองค์ท่านทำอะไรให้กับประเทศไทยบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการดำเนินชีวิตด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีหลายกิจกรรมที่สอนให้หนูได้ลงมือปฏิบัติจริง หนูชอบกิจกรรมที่สอนให้ทำสบู่ แชมพู เพราะจะได้เอาไปทำที่บ้าน ซึ่งเป็นแนวคิดหนึ่งของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่สอนให้พวกเราพึ่งพาตัวเองและอยู่อย่างพอเพียง"
ทางด้าน น้องเดฟ - เฉลิมรัฐ ปัดสำราญ จากโรงเรียนพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ บอกว่า "ตอนที่พี่ๆ พาเดินไปศึกษาแนวคิดของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในแต่ละฐาน ผมได้ความรู้มากมาย เช่น เรื่องการปรับปรุงดิน ซึ่งทำให้เห็นว่าจากพื้นที่ที่เคยเป็นหินภูเขาก็สามารถปรับให้กลายเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์และมีป่าที่ร่มรื่นเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาเพียง 12 ปี มีความรู้เรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าจะนำกลับไปชวนพ่อแม่ทำคือ คันนาทองคำ ที่นี่สอนให้รู้ว่าคันนาก็มีประโยชน์ สามารถใช้เป็นที่ปลูกพืชผักผลไม้ได้ ที่บ้านผมมีคันนาที่มีแต่หญ้าขึ้น ผมจะปลูกพริก มะละกอ และผลไม้อื่นๆ ผลผลิตที่ได้ ก็เอามารับประทาน แบ่งปันให้คนอื่น หรือจำหน่ายสร้างรายได้ และผมประทับใจเรื่องการสีข้าวด้วย เคยเห็นแต่ในทีวีและ ยูทูป แต่มาที่นี่ ผมได้ลองทำเอง ทำให้รู้ว่าไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ข้าวสักกำมือ ทำให้ผมเห็นคุณค่าของข้าวมากขึ้น"
ปิดท้ายกับความรู้สึกของ น้องจันทร์กระพ้อ - จุรีรัตน์ บุญเกิด จากโรงเรียนจิตรลดา (สายวิชาชีพ) จังหวัดกรุงเทพมหานคร ที่เล่าว่า "พอทราบว่าจะได้มาทำกิจกรรมต้นกล้าแคมป์ หนูรู้สึกตื่นเต้น คิดว่าน่าจะเป็นกิจกรรมที่สนุก แต่ก็กลัวนิดหน่อยว่าจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้ เพราะหนูเป็นคนขี้อาย แต่พอมาถึงที่นี่ ความรู้สึกกลัวก็ไม่มีเลย พี่ๆ มีกิจกรรมให้เราทำร่วมกัน ทำให้เรารู้จักกัน กล้าที่จะพูด กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น หนูได้รู้จักเพื่อนต่างโรงเรียนอีกเกือบ 60 คน ทำให้เราได้แบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน เพราะแต่ละคนมาจากคนละโรงเรียน คนละจังหวัด คนละภาค ซึ่งคนต่างพื้นที่ ก็จะมีประสบการณ์ ความรู้ และมุมมองแตกต่างกันไป นอกจากได้ความรู้แล้วยังสนุกด้วย"