กรุงเทพฯ--10 ก.ย.--วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส
สภาวะตลาดวันที่ 10 กันยายน 2561 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,191.30-1,196.65 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 18,650 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาทรงตัวจากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,650 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFV18 อยู่ที่ 18,700 บาท โดยราคาปรับตัวลดลง 40 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,740 บาท
(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้น ณ เวลา 15.16 น. ของวันที่ 10/09/61)
แนวโน้มวันที่ 11 กันยายน 2561
ข้อมูลการขยายตัวของการจ้างงานสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์ บ่งชี้ว่า ค่าจ้างเพิ่มขึ้นมากที่สุดรายปีในรอบกว่า 9 ปี เพิ่มโอกาสให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% อีก 2 ครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ โปรแกรม Fed Watch ของ CME Group เผยว่า เทรดเดอร์ประเมินโอกาสกว่า 90% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ย.นี้ และเทรดเดอร์ปปรับตัวรับโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 18-19 ธ.ค. สู่ระดับ 77.2% ในวันศุกร์ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 70.1% ส่งผลหนุนดัชนีดอลลาร์ซึ่งวัดการปรับตัวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงิน 6 สกุลให้ปรับตัวขึ้น จนกดดันราคาทองคำ นอกจากนี้สกุลเงินรูปีของอินเดียร่วงลงอย่างหนักสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ และล่าสุดปรับลงมาที่ 72.388 รูปี หลังจากที่ธนาคารกลางเข้าแทรกแซงอย่างหนักในวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อปกป้องรูปีที่ระดับ 72 รูปี ค่าเงินรูปีที่อ่อนค่าลงจะส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศอินเดียเพิ่มสูงขึ้น จนอาจจะส่งผลลบต่อความต้องการบริโภคทองคำในประเทศอินเดียชะลอตัวลงได้ ซึ่งอินเดียเป็นผู้บริโภคทองคำเป็นอันดับสองของโลกรองจากจีน ประกอบกับดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศคู่ค้า ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ ขู่เก็บภาษีต่อสินค้าอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์ หรือพร้อมที่จะเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าของจีนเกือบทั้งหมดนอกเหนือจากสินค้านำเข้ามูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ที่มีแนวโน้มจะถูกเก็บภาษีในอีกไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของจีนเปิดเผยว่า จีนจะตอบโต้ ถ้าสหรัฐดำเนินมาตรการใหม่ใดๆทางการค้า ประเด็นดังกล่าวอาจสร้างความผันผวนต่อราคาทองคำ ทั้งนี้นักลงทุนควรวางแผนการลงทุนอย่างรอบครอบเพื่อควบคุมความเสี่ยง และการจับตาความเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลกนั้นยังไม่เพียงพอ เพราะการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทแกว่งตัวในช่วงนี้ วายแอลจีแนะนำให้ใช้กลยุทธ์เข้าซื้อขายเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นเป็นหลัก ราคาทองคำยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านในโซน 1,207-1,214 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งนักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังแรงขายกดดันราคาทองคำให้อ่อนตัวลงอีกครั้งหากไม่ผ่านแนวต้านดังกล่าว เนื่องจากราคาทองคำในช่วงก่อนหน้าอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง
กลยุทธ์การลงทุน ทางวายแอลจีมีมุมมองว่า สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยแนะนำให้รอการตั้งฐานของราคาทองคำ แต่สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำให้รอจังหวะซื้อหากราคาไม่หลุดแนวรับ 1,191-1,182 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และขายทำกำไรเมื่อราคาทองคำดีดตัวขึ้นและไม่ผ่านแนวต้าน 1,207-1,214 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากสามารถผ่านได้ให้รอขายทำกำไรบริเวณแนวต้านถัดไปที่ 1,228 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากราคาที่เหวี่ยงตัวจะทำให้นักลงทุนที่ลงทุนมากเกินไปหรือไม่มีแผนในการลงทุนที่ชัดเจนอาจจะได้รับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุน
ทองคำแท่ง (96.50%)
แนวรับ 1,191 (18,500บาท) 1,182 (18,350บาท) 1,175 (18,200บาท)
แนวต้าน 1,214 (18,850บาท) 1,228 (19,100บาท) 1,238 (19,250บาท)
GOLD FUTURES (GFV18)
แนวรับ 1,191 (18,640บาท) 1,182 (18,500บาท) 1,175 (18,390บาท)
แนวต้าน 1,214 (19,000บาท) 1,228 (19,220บาท) 1,238 (19,380บาท))
หากต้องการทราบทิศทางราคาทองคำและแนวทางลงทุนทองคำ ขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทีมที่ปรึกษาการลงทุนด้านโกล์ดฟิวเจอร์ส โทร.02-687-9999