กรุงเทพฯ--13 ก.ย.--เวิรฟ
"ไทคอน" ผู้นำการให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม โชว์ผลงานครึ่งปีแรกโกยรายได้ 1,704 ล้านบาท ด้วยกำไรสุทธิ 328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 188 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 134 และภาพรวมธุรกิจเติบโตขึ้นถึงร้อยละ 66 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สะท้อนผลสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรทุกมิติ (Total Dimension) ที่ได้ประกาศไป มั่นใจครึ่งปีหลังสดใส เดินหน้าขยายธุรกิจใหม่เชื่อมโยงแพลตฟอร์มอย่างบูรณาการ (Integrated Platform) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สนองตอบความต้องการของลูกค้าและเทรนด์ธุรกิจอุตสาหกรรม
ในยุคดิจิทัล พร้อมผงาดขึ้นแท่นผู้นำระดับอาเซียนในปี 2563
นายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON เปิดเผยว่า "ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี2561 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 กลุ่มบริษัทไทคอนมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,704 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 676 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 66 และมีกำไรสุทธิ 328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 188 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 134 เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2560 สะท้อนความสามารถในการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีรายได้หลักจากการให้เช่าพื้นที่และบริการจำนวน 770 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชลบุรีให้แก่บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ต้องการขยายพื้นที่ประกอบการ และมีรายได้ค่าบริหารจัดการจากบริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารกองทรัสต์ TREIT เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการดำเนินงานตามแผนโรดแมป 3 ปี มุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์ Total Dimension"
ทั้งนี้ นายโสภณยังได้กล่าวเสริมเกี่ยวกับรายละเอียดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มไทคอนว่า "ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการในทำเลยุทธศาสตร์ของภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์รวมกว่า 50 แห่งทั่วประเทศและมีที่ดินพร้อมพัฒนาในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) กว่า 1.5 ล้านตารางเมตร ทั้งนี้ไทคอนยังคงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเช่าพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าจำนวนร้อยละ 71 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 68 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยลูกค้ามากกว่าร้อยละ 85 ยังคงเป็นบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่น เยอรมัน และสิงคโปร์ ที่ประกอบธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์" นายโสภณกล่าว