กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส
สภาวะตลาดวันที่ 18 กันยายน 2561 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,195.60-1,201.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 18,550 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาทรงตัวจากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,550 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFV18 อยู่ที่ 18,610 บาท โดยราคาทรงตัวจากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,610 บาท
(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้น ณ เวลา 15.18 น. ของวันที่ 18/09/61)
แนวโน้มวันที่ 19 กันยายน 2561
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐเพิ่มความรุนแรงของสงครามการค้ากับจีน ด้วยการประกาศเก็บภาษี 10% ต่อสินค้านำเข้าจากจีน 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 24 ก.ย.นี้ แม้ว่าราคาทองคำจะร่วงลงในช่วงแรก แต่ทางการจีนไม่ได้ประกาศมาตรการตอบโต้โดยทันที ส่งผลให้ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้ปธน.ทรัมป์ ของสหรัฐระบุว่า การดำเนินการเก็บภาษีได้เพิ่มความแข็งแกร่งของสถานะการต่อรองของสหรัฐและยังแทบจะไม่เห็นการเพิ่มขึ้นของต้นทุนสินค้าจากภาษีดังกล่าว ขณะที่หนังสือพิมพ์โกลบอล ไทม์สของทางการจีนรายงานว่า "ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสหรัฐในการพยายามทำให้ความตึงเครียดรุนแรงขึ้นและจะเห็นการเอาเปรียบมากขึ้นบนโต๊ะเจรจา" ส่วนทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า จีนไม่มีทางเลือก นอกจากตอบโต้ต่อการดำเนินการภาษีครั้งล่าสุดของสหรัฐและหวังว่าสหรัฐจะแก้ไขพฤติกรรมของตน แต่ไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าจะดำเนินการอย่างไร ประเด็นดังกล่าวจึงยังไม่ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของราคาทองคำมากนัก ขณะที่แหล่งข่าวจากรัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า การเริ่มเจรจาการค้ารอบ 2 ระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐจะเลื่อนออกไปหลังจากที่ภาษีใหม่ของสหรัฐต่อจีนมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ก.ย. ซึ่งคาดว่านายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่น และ ปธน.ทรัมป์ จะพบกันนอกรอบการอภิปรายของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจต้องติดตามประเด็นด้านการค้าต่อไป นอกจากนี้แนะนำติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ คาดว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% หากเสียงไม่เป็นเอกฉันท์ อาจจะสนับสนุนกระแสคาดการณ์การส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายภายในสิ้นปีนี้ อาจกระตุ้นให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่หากการลงมติออกมา 6-1 เสียงเช่นเดิม อาจจะสนับสนุนกระแสคาดการณ์ว่ายังไม่จำเป็นต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจกดดันเงินบาทให้มีทิศทางอ่อนค่าลง ด้วยเหตุผลนี้แนะนำให้ใช้กลยุทธ์เข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น อย่างไรก็ตามการจับตาความเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลกนั้นยังไม่เพียงพอ เพราะการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทมีการแกว่งตัวเพิ่มสูงขึ้นในช่วงนี้ด้วย
กลยุทธ์การลงทุน ทางวายแอลจีมีมุมมองว่า ราคาทองคำยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ หากราคาทดสอบแนวต้านต่อไปที่ 1,205 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งนักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไร เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเมื่อราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นแรงก็จะมีแรงขายทำกำไรออกมาแรงเช่นกัน โดยนักลงทุนที่สะสมทองคำไว้อาจมีการขายทำกำไรบางส่วนออกมาบ้าง โดยให้ดูว่าราคาจะผ่านแนวต้านได้หรือไม่ ถ้าสามารถผ่านไปได้แนะนำให้นักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูงได้ให้ถือต่อไป เพื่อไปขายทำกำไรที่แนวต้านถัดไป และหากราคาทองคำมีการปรับตัวลดลงมาไม่หลุดแนวรับ แนะนำนักลงทุนสามารถเก็งกำไร โดยให้เน้นไปที่การเข้าซื้อ ทั้งนี้ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,187 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,175 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทองคำแท่ง (96.50%)
แนวรับ 1,187 (18,250บาท) 1,175 (18,050บาท) 1,160 (17,850บาท)
แนวต้าน 1,205 (18,600บาท) 1,214 (18,700บาท) 1,228 (18,950บาท)
GOLD FUTURES (GFV18)
แนวรับ 1,187 (18,440บาท) 1,175 (18,250บาท) 1,160 (18,020บาท)
แนวต้าน 1,203 (18,720บาท) 1,214 (18,860บาท) 1,228 (19,080บาท)
หากต้องการทราบทิศทางราคาทองคำและแนวทางลงทุนทองคำ ขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทีมที่ปรึกษาการลงทุนด้านโกล์ดฟิวเจอร์ส โทร.02-687-9999