กรุงเทพฯ--19 ก.ย.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
บมจ.พริมา มารีน ("PRM") มั่นใจโชว์บริหารจัดการกองเรือให้สอดคล้องกับแนวโน้มตลาด หนุนศักยภาพการเติบโต เปิดเกมเน้นขยายกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งฯเต็มกำลัง หลังควบรวมกิจการ Big Sea แล้วเสร็จต้นไตรมาส 3/61 พร้อมรับรู้รายได้ทันที แถมช่วยเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการที่เพิ่มสูงขึ้น เพิ่มขนาดกองเรือขนส่งในประเทศเพิ่มเป็น 27 ลำ รับปริมาณขนส่งน้ำมันภายในประเทศเพิ่มขึ้น เรือขนส่งระหว่างประเทศเปลี่ยนสัญญาเป็นแบบ Time Charter คุมต้นทุนอยู่หมัด ขณะที่กลุ่มธุรกิจ FSU ปลดระวางเรือเก่า 2 ลำ คงเหลือ 5 ลำ หวังลดต้นทุนและดันอัตราการใช้บริการของเรือพุ่งเป็น 90% มั่นใจปีนี้ผลงานเติบโตแกร่ง
นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์น้ำมันกึ่งสำเร็จรูปและปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจร รวมถึงให้บริการเรือขนส่งที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ PRM จะเน้นผลักดันการเติบโตในกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันภายในประเทศให้เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่ของรายได้และอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ซึ่งมีปัจจัยมาจากการขยายกองเรือจากเดิมที่มี 13 ลำ เพิ่มขึ้นเป็น 27 ลำ ในไตรมาส 3 โดยเป็นผลจากการเข้าควบรวมกิจการบริษัท บิ๊กซี จำกัด เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจขนส่งน้ำมันภายในประเทศและปิโตรเคมีเหลวที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดย PRM จะสามารถบริหารจัดการกองเรือให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางขนส่งน้ำมันสู่ภาคใต้ที่ขยายตัวจากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันผลจากการปรับลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิง โดยการปรับเปลี่ยนสัญญาการขนส่งรายเที่ยว (Spot) เป็นการขนส่งแบบมีระยะเวลา (Time Charter) ของเรือขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศ รวมถึงความสำเร็จจากการปรับพอร์ตกองเรือให้มีความเหมาะสมกับสภาวะตลาดในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถการทำกำไรขั้นต้นที่ดียิ่งขึ้น หลังประสบความสำเร็จในการเพิ่มอัตราการใช้งานเฉลี่ยของเรือต่อวันอยู่ในระดับที่มากกว่า 90% จากปัจจุบันที่มีเรือในกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ (FSU) อยู่ 5 ลำ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวและรองรับการเติบโตในอนาคต
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRM กล่าวว่า ส่วนกลุ่มธุรกิจบริหารจัดการกองเรือ เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มองว่าจะมีการเติบโตที่ดีในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากPRM มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจและสามารถขยายการให้บริการไปยังลูกค้ารายอื่นๆ สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจและจะช่วยสนับสนุนการเติบโตที่ดีในปีนี้ ขณะที่กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียมกลางทะเล (ธุรกิจเรือ Offshore) ยังคงต้องรอความชัดเจนจากสถานการณ์ยื่นประมูลสัมปทานแหล่งก๊าซในอ่าวไทย ซึ่งเชื่อว่าหากมีความชัดเจนในประเด็นดังกล่าวจะทำให้ธุรกิจเรือ Offshore มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ มีความพร้อมลงทุนในธุรกิจนี้เพิ่มเติมทันที หากมีการประมูลสัมปทานแหล่งก๊าซในอ่าวไทยแล้วเสร็จอย่างเป็นทางการ
"ในครึ่งปีหลัง จะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนของ PRM ซึ่งมีปัจจัยสำคัญจากการรุกธุรกิจขนส่งน้ำมันภายในประเทศ หลังจากที่เราควบรวมกิจการ Big Seaแล้วเสร็จตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/61 ที่สามารถบันทึกการรับรู้รายได้ทันที และจากศักยภาพการดำเนินธุรกิจของเราที่แข็งแกร่งขึ้นจากฐานลูกค้ารายใหม่ๆ ที่เข้ามาเพิ่มเติม รวมถึงการบริหารจัดการพอร์ตกองเรือที่สอดคล้องกับภาวะตลาดเพื่อควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเข้ามาช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย" นายชาญวิทย์ กล่าว