กรุงเทพฯ--19 ก.ย.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
TNR เปิดผลสำรวจตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทย จากการสำรวจโดยนีลเส็น ประเทศไทย หน่วยงานด้านการวิจัยชั้นนำ มีมูลค่าตลาดรวมในปีที่ผ่านมา กว่า 1,400ล้านบาท จากแบรนด์สินค้าในตลาดกว่า 30 แบรนด์ ขณะที่ภาพรวมช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ตลาดรวมหดตัวลง จากค่านิยมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป ขณะที่แบรนด์ ONETOUCH(TM) โชว์ศักยภาพเพิ่มส่วนแบ่งตลาด หลังมุ่งสร้างภาพลักษณ์แบรนด์และขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ตั้งเป้าสิ้นปีนี้มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 28% และเพิ่มเป็น 32% และ 35% ตามลำดับในปี 2562 และ 2563 เพื่อก้าวเป็นผู้นำตลาดถุงยางอนามัยในไทย
นายกัณห์ กุลอัฐภิญญา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในไทยและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้แบรนด์ ONETOUCH(TM) และ PLAYBOY เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทย (สำรวจโดยนีลเส็น ประเทศไทย) ในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 1,432 ล้านบาท หรือคิดเป็นปริมาณ 72 ล้านชิ้น (ไม่รวมถุงยางที่แจกจ่ายโดยภาครัฐและองค์กรไม่แสวงหากำไร) โดยปัจจุบันในประเทศไทยมีถุงยางอนามัยที่วางจำหน่ายในท้องตลาดกว่า 30 แบรนด์ รวมทั้งสิ้นกว่า 100 หน่วยสินค้า (SKU) ซึ่งมาจากผู้ผลิตในประเทศ 5 ราย และผู้นำเข้าจากต่างประเทศอีก 2 ราย
ขณะที่ภาพรวมตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.2561) พบว่ามูลค่าตลาดรวมลดลงประมาณ 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยมาจากค่านิยมเกี่ยวกับวิธีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิดที่เปลี่ยนแปลงไป สะท้อนจากอัตราการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของประชาชนคนไทยที่เพิ่มขึ้นจากในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม อย่างไรก็ตามประเมินว่าแนวโน้มตลาดถุงยางอนามัยในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะช่องทางการขายทางออนไลน์ที่คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างโดดเด่น จากการทำกิจการการตลาดเพื่อกระตุ้นการขายของผู้ประกอบการแบรนด์ต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินงานของถุงยางอนามัยแบรนด์ ONETOUCH(TM) ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ตามเป้าหมาย โดยมีปัจจัยมาจากการปรับภาพลักษณ์แบรนด์สินค้าให้มีความชัดเจนและสามารถสื่อสารจุดยืนที่ชัดยิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซปต์'ไปให้ถึงจุด ทำให้สุดยอด' เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยเฉพาะการขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ของแบรนด์ ONETOUCH(TM) ที่เป็นคนในยุคมิลเลนเนียล (Millennials) หรือกลุ่ม Gen Y ที่เกิดในช่วงปี 2523 – 2543 (อายุ 18 – 38 ปี) โดยทำการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผ่านสื่อโซเชียล มีเดีย เช่น เฟซบุ๊ค เพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำหรือทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ONETOUCH(TM) พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นการวางจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันพบว่าพฤติกรรมในการเลือกซื้อถุงยางอนามัยของผู้บริโภคในปัจจุบัน ยังคงให้ความสำคัญกับยี่ห้อเป็นอันดับแรก ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องมือแพทย์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่กล้าเสี่ยงใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่มีความน่าเชื่อถือ ดังนั้นผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเลือกซื้อถุงยางอนามัยที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จัก เป็นปัจจัยลำดับต้น ๆ เพื่อลดความกังวลในเรื่องดังกล่าว เพิ่มมั่นใจในการมีเพศสัมพันธ์
ทั้งนี้ ผลตอบรับจากการปรับภาพลักษณ์แบรนด์สินค้า ตั้งเป้าภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดแบรนด์ ONETOUCH(TM) เป็น 28% ของปริมาณการใช้โดยรวม และปี 2562 ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 32% ของปริมาณการใช้โดยรวม ส่วนในปี 2563 ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 35% โดยจะรุกวางจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายยาให้ครอบคลุมเพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น
"เราตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเพื่อก้าวเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยในประเทศในอนาคต โดยมั่นใจว่าด้วยคุณภาพสินค้าและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภค ประสบการณ์ในการขายและการตลาด และมีพันธมิตรคู่ค้าด้านการทำตลาดและช่องทางจำหน่ายที่ดี จะทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าของเราและทำให้ONETOUCH(TM) บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้" นายกัณห์ กล่าว