กรุงเทพฯ--20 ก.ย.--เมืองไทย แคปปิตอล
MTC มั่นใจผลการดำเนินงานจะทุบสถิติสูงสุดทุกไตรมาส โดยเฉพาะครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงการเติบโตมากสุด ยันปล่อยเสินเชื่อใหม่ทะลุ 8 หมื่นล้านบาท พร้อมยอดลูกหนี้คงค้างกว่า 4.14 หมื่นล้านบาท ขณะที่เดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่อง คาดสิ้นปีมีจำนวนสาขาเพิ่มเป็น 3,200 แห่ง ครองแชมป์ผู้ประกอบการมีสาขามากสุดในประเทศไทย
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรก 2561 บริษัทมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่ 36,620 ล้านบาท และลูกหนี้คงค้าง 41,469 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาทุกอย่างเติบโตกว่า 40 %ขณะที่มีกำไรสุทธิ 1,746 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.72 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน
"ตามที่ได้เคยประกาศว่าปีนี้ เราจะมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่, ลูกหนี้คงค้างเติบโต 40 %ในช่วงครึ่งปีแรกได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราสามารถบริหารงานได้ตรงตามเป้าไว้ทุกประการ และคาดว่ายอดปล่อยทั้งปีประมาณ 80,000 ล้านบาท และลูกหนี้คงค้างประมาณ 50,000 ล้านบาท จึงไม่น่ามีปัญหา"นายชูชาติกล่าว
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง เรายังไม่กังวล เพราะโดยปกติธรรมชาติของธุรกิจนี้ ในครึ่งปีหลังจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก ดังนั้นเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งปีจะเติบโตที่40 % จึงมั่นใจว่าทำได้แน่นอน
ส่วนแผนการเปิดสาขาปีนี้ ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดสาขาจำนวน 600 สาขา เมื่อรวมกับสิ้นปีที่ผ่านมา มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 2,200 สาขา ปัจจุบันได้เปิดสาขาไปแล้วกว่า 800 แห่ง จึงมีจำนวนสาขามากกว่า 3,000 แห่ง และคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมีมากกว่า 3,200 แห่ง ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในประเทศไทย
ถึงแม้ว่าจะเปิดสาขามากและปล่อยสินเชื่อออกไปจำนวนมากก็ตาม แต่ระดับหนี้เสียหรือ NPL กลับทรงตัวระดับต่ำกว่า 1.50 % ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารของบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล มีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้เสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับแผนงานในปี 2562 บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขาไว้จำนวน 600 สาขา เมื่อรวมกับสาขาเดิมที่เปิดไปแล้วจึงคาดว่าภายในสิ้นปี 2562 ทางบริษัท จะมีสาขาทั้งสิ้น 3,800-4,000 สาขา
"การที่เรามีสาขาจำนวนมากขึ้น ทำให้เราสามารถขยายการบริการไปถึงลูกค้าที่อยู่ตามต่างจังหวัด และภูมิภาคต่างๆของประเทศ จึงทำให้มั่นใจว่าในปี2562 สามารถรักษาการเติบโตถึง 35 % ทั้งในด้านของการปล่อยสินเชื่อใหม่, ลูกหนี้คงค้าง และรวมทั้งผลกำไรของบริษัท ซึ่งจะเป็น New High ตลอดทุกปี และทุกไตรมาส"
นอกจากนี้ ในปี 2562 จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ดังนั้น เชื่อมั่นว่าสภาพคล่องทางการเงินของประชาชนจะมีสูงขึ้น ดังนั้น จึงไม่ได้กังวลต่อหนี้เสียหรือ NPL แต่ประการใด แต่จะกลับเร่งขยายตัวโดยการเปิดสาขาไปตามภูมิภาคต่างๆ และรวมทั้งกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับมุมมองการลงทุนของต่างชาติในธุรกิจนี้ จะเห็นว่ายังรอดูความชัดเจนของพรบ.กำกับดูแลสถาบันการเงินจากกระทรวงการคลังที่จะประกาศใช้ ถ้าพ.ร.บ.ออกมา ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการ เช่น การกำหนดดอกเบี้ย, ค่าบริการ, ค่าติดตาม, ค่าผิดนัด ออกมาเป็นจำนวนชัดเจน เช่น 28 %หรือ 36 %จะทำให้นักลงทุนคลายความกังวล และจะเข้ามาลงทุนในหุ้น MTC เพิ่มขึ้นจำนวนมาก
"ผมมีความมั่นใจว่า พรบ.ฉบับดังกล่าว ที่จะประกาศใช้ในสิ้นปีนี้นั้น จะออกมามีผลดีต่อผู้ประกอบการอย่างแน่นอน ซึ่งดูได้จากสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ซึ่งกระทรวงการคลังประกาศให้ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนสามารถทำธุรกิจจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ได้ และสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยได้ถึง 36 % ดังนั้น พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวน่าจะล้อไปกับสินเชื่อที่ประกาศออกมา อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนไทยที่จะหันมาให้ความสนใจหุ้นMTC" นายชูชาติ กล่าวในที่สุด