กรุงเทพฯ--15 มิ.ย.--ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์
ความฝันที่มีมาตลอดชีวิตของนักประดิษฐ์ นักบินอวกาศ และนักวิทยาศาสตร์ ดร.รี้ด ริชาร์ด (โยอัน กริฟฟิดด์) ใกล้จะเป็นความจริงแล้ว เขากำลังจะนำทีมเดินทางสู่อวกาศ ไปยังศูนย์กลางของพายุคอสมิค ณ ที่แห่งนั้น เขาหวังที่จะไขความลับเรื่องรหัสพันธุกรรมของมนุษย์เพื่อประโยชน์สำหรับมวลมนุษยชาติ
การตัดงบประมาณของรัฐบาลอย่างมหาศาลเกือบจะทำลายความหวังของการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ของผู้มองการณ์ไกล จนกระทั่งรี้ดยอมรับทุนจากคู่แข่งของเขาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย วิคเตอร์ วอน ดูม (จูเลี่ยน แม็คแมน)ซึ่งปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีพันล้านจากการทำอุตสาหกรรม
ลูกทีมของรี้ดสำหรับภารกิจนี้ประกอบไปด้วย เพื่อนรักของเขา นักบินอวกาศ เบน กริมม์ (ไมเคิล ชิคลิส) ซู สตรอม (เจสสิก้า แอลบ้า) ผู้อำนวยการของการวิจัยทางพันธุศาสตร์ของวอน ดูม และเป็นแฟนเก่าของรี้ด และน้องชายอารมณ์ร้อนของซู นักบินจอห์นนี่ สตรอม (คริส อีแวนส์) ด้วยความอุปถัมภ์ของวอน ดูม ทั้งสี่คนจึงได้ออกเดินทางสู่การสำรวจครั้งสำคัญของชีวิต
ภารกิจไม่น่าสนใจ จนกระทั่งรี้ดค้นพบการคำนวณความเร็วของพายุที่กำลังจะเข้ามาถึงผิดพลาด ภายในเวลาไม่กี่นาที พายุก็มาจ่อตรงหน้าพวกเขาแล้ว สถานีอวกาศถูกล้อมด้วยเมฆหมอกรุนแรงของรังสีคอสมิค ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมต่อลูกเรือทั้งหมด ดีเอ็นเอของพวกเขาถูกเปลี่ยนโดยที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้...เช่นเดียวกับอนาคตของพวกเขา
เมื่อกลับมายังโลก ผลกระทบของการถูกสัมผัสด้วยรังสีถูกเปิดเผยออกมาอย่างรวดเร็ว รี้ดมีความสามารถในการยืดและบิดร่างกายของเขาให้เป็นรูปร่างใดๆ ที่เขาจินตนาการไว้ได้ และในฐานะผู้นำกลุ่ม เขาจึงได้รับการขนานนามว่า มิสเตอร์ แฟนตาสติค ซู สามารถล่องหนและสร้างสนามพลังอันทรงพลังได้จึงกลายเป็นมนุษย์ล่องหน จอห์นนี่กลายเป็นมนุษย์คบเพลิง เมื่อเขาล้อมตัวเองไว้ด้วยเปลวเพลิง และเหาะได้เมื่อต้องการ และเบน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงแสนประหลาดของเขาน่าตกใจที่สุด เขากลายเป็นมนุษย์หินตัวสีส้มที่แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ ชื่อว่า เดอะ ธิง
เมื่อรวมตัวกัน พวกเขาเปลี่ยนโศกนาฏกรรมให้กลายมาเป็นชัยชนะ และเปลี่ยนความหายนะให้กลายเป็นการร่วมแรงร่วมใจ โดยใช้พลังที่เป็นเอกลักษณ์และแกร่งเหนือใครของพวกเขาในการป้องกันแผนชั่วของ ดร. ดูม ซึ่งบัดนี้กลายเป็นคนมีดวงตาและหมัดเหล็ก และเพื่อปกป้องพลเมืองนิวยอร์คให้รอดพ้นจากการคุกคามใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น
นักบินอวกาศ ซูเปอร์ฮีโร่ คนดัง ในสายตาของชาวโลก พวกเขาคือ แฟนตาสติค โฟร์ ( มนุษย์กายสิทธิ์ทั้งสี่ ) ในสายตาของกันและกัน พวกเขาคือครอบครัวเดียวกัน
แฟนตาสติค โฟร์ สร้างจากหนังสือการ์ตูนชุดที่มีอายุยาวนานที่สุดของมาร์เวล ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “การ์ตูนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ขณะที่มีการนำการ์ตูนหลายเรื่องของมาร์เวลมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ก่อนหน้าแฟนตาสติก โฟร์ โดยเฉพาะเรื่องที่โด่งดังที่สุดคือ “เอ็กซ์เม็น” และ ”สไปเดอร์แมน” ด้วยเหตุผลที่ไร้ข้อโต้แย้ง แฟนตาสติค โฟร์ ต้องการพลังของสเปเชียลเอฟเฟกต์มากกว่าการ์ตูนที่นำมาทำเป็นภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ถึงสี่เท่า อันที่จริง เอฟเฟกต์สุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างกว่าเรื่องอื่นๆ มากจนกระทั่งเทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างยังไม่เคยมีอยู่เลยเมื่อหนึ่งปีที่ก่อน แต่สำหรับเอฟเฟกต์ล้ำยุคทั้งหมด สิ่งที่ทำให้แฟนตาสติค โฟร์ มีความพิเศษคืออารมณ์ขันและความรู้สึกรุนแรง ในที่สุดแล้วตัวละครของเรื่องนี้คือครอบครัวที่มีความผิดปกติของร่างกาย ซึ่งโด่งดังที่สุดในโลกของซูเปอร์ฮีโร่
ปรากฏการณ์ “มหัศจรรย์” เริ่มขึ้นเมื่อ 44 ปีก่อน หลังจากที่มาร์ติน กู้ดแมน บรรณาธิการผู้พิมพ์ของมาร์เวล คอมมิคส์ เล่นกอล์ฟกับคู่แข่งในวงการ เขาตัดสินใจจะเดินหน้าด้วยความคิดที่น่าสนใจมาก กู้ดแมนเล่าความคิดของเขาให้กับสแตน ลี นักเขียนการ์ตูนผู้เป็นตำนานฟัง
“มาร์ตินพูดกับผมว่า ‘ทำไมคุณไม่สร้างทีมซูเปอร์ฮีโร่ขึ้นมาล่ะ’” ลีทบทวนความจำ “ดังนั้น
ผมกับแจ๊ค เคอร์บี้จึงสร้าง แฟนตาสติค โฟร์ และกว่าสี่สิบปีต่อมา มันยังคงเป็นอัญมณีในมงกุฎของมาร์เวล”
ลีต้องการให้ซูเปอร์ฮีโร่ของเขาเป็นคนจริงๆ ที่ไม่มีตัวตนลับๆ เขากล่าวว่า “ผมอยากจะสร้างพวกเขาให้เป็นเหมือนคนจริงๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่พวกเราในโลกจริง ซึ่งบังเอิญมีพลังพิเศษ” “พวกเขาคือครอบครัวซูเปอร์ฮีโร่ครอบครัวแรก คนสี่คนที่ใช้ชีวิตและทำงานด้วยกันราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน เราไม่เคยเห็นความสัมพันธ์เช่นนี้ในหนังสือการ์ตูนเรื่องใดๆ ก่อนหน้าแฟนตาสติค โฟร์ และนั่นทำให้การ์ตูนเรื่องนี้มีเอกลักษณ์และได้รับความนิยมมากในหมู่แฟนๆ“
สำหรับสแตน ลี การได้เห็นหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้มีชีวิตขึ้นมาเป็นความรู้สึกที่วิเศษที่สุด “มันน่าตื่นเต้นจริงๆ “ ลีกล่าว “ฟ็อกซ์อยากทำหนังเรื่องนี้มานานมากแล้ว ผมดีใจที่พวกเขาเฝ้ารอเพื่อตัวเรื่องที่ใช่และเทคโนโลยีที่เหมาะสม พวกเขามีกลุ่มนักแสดงที่สมบูรณ์แบบ แล้วทุกอย่างจะปรากฏบนจอเงิน...อารมณ์ขัน เรื่องชีวิตหนัก การผจญภัย ฉากบู๊ ความสนุก...ทุกอย่างที่ทำให้หนังมหัศจรรย์มาก”
มีการพัฒนาภาพยนตร์ดัดแปลงของการ์ตูนแฟนตาสติค โฟร์ของมาร์เวลมาเป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษ เมื่อผู้อำนวยการสร้างอย่างเบินด์ ไอคิงเกอร์ของบริษัทคอนสแตนติน ฟิล์มส และบริษัท 1492 โปรดักชั่นส์ของคริส โคลัมบัสค้นหาบทภาพยนตร์ที่เหมาะสม
นักเขียนบทหลายคนเขียนบทร่างในช่วงเวลาหลายปี สิ่งต่างๆ เริ่มรวมเป็นรูปเป็นร่างกับบทของไมเคิล ฟรานซ์ (“Hulk”) “ผมอยากดูหนัง ‘แฟนตาสติค โฟร์’ บนจอภาพยนตร์มาตั้งแต่ผมเป็นเด็ก” ฟรานซ์กล่าว “การเข้าร่วมกับภาพยนตร์เรื่อง‘แฟนตาสติค โฟร์’ คือเหตุผลหนึ่งที่ผมก้าวเข้ามาในวงการภาพยนตร์ตั้งแต่แรก”
สำหรับฟรานซ์และผู้อำนวยการสร้าง เป้าหมายหลักคือการจับโทนที่ถูกต้องของเรื่อง“ทิศทางของโทนเรื่องคือการทำตามหนังสือการ์ตูนเดิม” ฟรานซ์กล่าว “เราต้องการหนังที่มีความตื่นเต้นและเต็มไปด้วยสิ่งที่เราไม่เคยเห็นในหนังเรื่องอื่น”
หลังจากเขียนบทร่างอื่นๆ หลายครั้ง มาร์ค ฟรอสต์ (“Twin Peaks”) ซึ่งเป็นแฟนของการ์ตูนแฟนตาสติค โฟร์เช่นกัน ก้าวเข้ามาทำให้บทเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น “ผมว่าเราต้องไปสู่รากของการ์ตูน” ฟรอสต์กล่าว “ผมรู้สึกว่าแก่นของมันจริงๆ เป็นเรื่องที่ง่ายมาก สัญชาตญาณของผมคือ ตัวเรื่องของหนังจำเป็นต้องเหมือนหนังสือการ์ตูนยุคแรกๆ ที่เขียนโดยสแตน ลีและแจ๊ค เคอร์บี้ — นั่นคือ มันควรจะมีความรู้สึกที่เปี่ยมพลังและมีเสน่ห์ เราอยากจับความตื่นเต้นของแฟนตาสติค โฟร์ที่ได้รับพลัง ขณะเดียวกันเราจะแนะนำผู้ชมใหม่ให้รู้จักตำนานของพวกเขา”
เมื่อผู้กำกับ ทิม สตอรี่เข้ามาทำหนังเรื่องนี้ เขาเห็นบทร่างที่ยังคงมีศูนย์กลางอยู่ที่หนังสือการ์ตูน แน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะซื่อสัตย์ต่อเรื่องในหนังสือการ์ตูนทั้งหมด มันมีเป็นพันๆ เรื่อง แต่สตอรี่เข้าใจว่าหนังจะต้องซื่อสัตย์ต่อตัวละคร เขายังอยากทำให้ตัวละครมีความเป็นมนุษย์ด้วย โดยเฉพาะตัว ดร.ดูม ซึ่งถูกพัฒนาน้อยกว่าตัวละครเอกทั้งสี่ในบทร่างเดิม
ตลอดช่วงหลายปีที่บทเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ผู้สร้างยังคงตั้งคำถามเดิมๆ อยู่ พวกเขาสงสัยว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าพอหรือไม่ที่จะทำให้เหล่าฮีโร่กับพลังของพวกเขาสมจริงและน่าเชื่อถือสำหรับแฟนๆ สามรุ่นที่ฉลาดมากขึ้น
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความก้าวหน้าเทคโนโลยีวิช่วลเอฟเฟกต์จะมีบทบาทสำคัญมากเมื่อหนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้น” ราล์ฟ วินเทอร์ ผู้อำนวยการสร้างอธิบาย “เราคงทำไม่สำเร็จแม้แต่เพียงไม่กี่ปีก่อนนี้ เทคโนดลยียังมาไม่ถึงเลยตอนนั้น” “อย่างไรก็ตาม เมื่อสองปีสุดท้ายหรืออะไรประมาณนั้น ความก้าวหน้าในคอมพิวเตอร์กราฟฟิกส์ การสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ทำให้ภาพสมจริงทำให้เราสามารถคิดจริงจังในเรื่องความเป็นไปได้ที่จะทำห้มันถูกต้อง เราสามารถดัดและยืดร่างกายคนได้และทำให้มันดูสมจริง ผสมไฟจริงเข้ากับไฟที่ทำจากคอมพิวเตอร์กราฟฟิกส์เพื่อทำให้มนุษย์คบเพลิงดูน่าเชื่อ สร้างตัวละครล่องหนซึ่งผู้ชมยังมองเห็นได้ และศิลปะของเมคอัพวิช่วลเอฟเฟกต์พิเศษมาไกลพอที่จะทำให้นักแสดงเล่นเป็นเดอะ ธิงได้ แทนที่จะใช้คอมพิวเตอร์สร้างตัวละครขึ้นมาทั้งตัว เราดูเครื่องมือทุกอย่างที่จะหาได้ และตัดสินใจว่าเวลาเหมาะสมแล้วที่จะนำเรื่องนี้มาสู่จอภาพยนตร์”
ทิม สตอรี่ ผู้กำกับและเอวี่ อาราด ผู้อำนวยการสร้างก็รู้สึกว่าจังหวะนี้เหมาะสมที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องแฟนตาสติค โฟร์แล้ว สำหรับเหตุผลที่นอกเหนือจากเรื่องจักรวาลของเทคโนโลยีและเอฟเฟกต์
อาราดกล่าวว่า “นิยายวิทยาศาสตร์ในช่วงทศวรรษ1960 ของสแตน ลี และแจ๊ค เคอร์บี้ กลายเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ของศตวรรษที่ 21 พวกเขาเป็นนักจินตนาการตัวจริง ในการสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศแบบส่วนตัวและการวิจัยเรื่องดีเอ็นเอมานานมากก่อนที่เรื่องเหล่านี้จะเป็นไปได้ และเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มหลักของสามัญสำนึก ตอนนี้เราได้อ่านและได้ยินเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ทุกวัน”
สำหรับทิม สตอรี่ แฟนตาสติค โฟร์ นำเสนอความเชื่อมโยงทางสังคม-การเมืองในยุคของคุณค่าของครอบครัว ดารารายการเรียลลิตี้ และความหลงใหลทางวัฒนธรรมกับความคิดของคนมีชื่อเสียง
“แฟนตาสติค โฟร์ น่าจะเป็นหนังสือการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับหัวใจของผมมากที่สุด” สตอรี่กล่าว “เพราะพวกเขาคือคนจริงที่ใช้ชีวิตและทำงานกันเป็นครอบครัว ไม่ว่าพวกเขาจะดูผิดปกติมากแค่ไหน ไม่ว่าพวกเขาจะโต้เถียงกันมากขนาดไหน พวกเขาก็ยังอยู่ด้วยกันเมื่อชีวิตของพวกเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ แล้วพวกเขาก็เติบโตจากคนที่ไม่สำคัญกลายเป็นคนดังในสังคม
สตอรี่กล่าวเสริมว่า “ความแตกต่างมากที่สุดระหว่างแฟนตาสติค โฟร์กับซูเปอร์ฮีโร่ในการ์ตูนเรื่องอื่นคือ พวกเขาไม่มีตัวตนลับหรือตัวตนที่หลบซ่อน เมื่อพวกเขาเดินไปตามถนนในแมนฮัตตัน ผู้คนจำพวกเขาได้ว่าเป็นรี้ด ริชาร์ดสหรือมิสเตอร์แฟนตาสติค จอห์นนี่ สตอร์มเป็นตัวอย่างที่เหมาะสมของความรู้สึกอ่อนไหวชั่วข้ามคืน และเขาตระหนักถึงเวลาของเขาที่อยู่ในความสนใจในฐานะมนุษย์คบเพลิง พวกเขาเป็นฮีโร่ตอนกลางวัน ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเปิดเผยถัดจากคุณและผม ผู้คนสมัยนี้ต้องการฮีโร่แบบนั้น ผมว่าวิธีการเข้าหาผู้ชมแบบนี้คือเหตุผลหนึ่งที่หนังสือการ์ตูนได้รับความนิยมมากมาเป็นเวลานานหลายปี”
อุปสรรคส่วนใหญ่ของ “การเข้าหา”นั้นตกเป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการสร้างฝ่ายวิชวลเอฟเฟกต์ เคิร์ต วิลเลี่ยมส์ ซึ่งความท้าทายของเขาคือการผสมผสานการแสดงของนักแสดงให้เข้ากับงานวิชวล เอฟเฟกต์กว่า 800 ช็อตในหนังได้อย่างกลมกลืน
วิลเลี่ยมส์กล่าวว่า “ทิมต้องการให้หนังและตัวละครเหล่านี้มีความสัมพันธ์ที่สมจริงและมีความเป็นธรรมชาติ รวมทั้งสภาพแวดล้อมของพวกเขาด้วย ดังนั้น เมื่อเขาและนักแสดงพัฒนาตัวละครขึ้นมา ทีมของผมกับผมก็พัฒนาชั้นของงานวิชวล เอฟเฟกต์ ซึ่งจะต้องผสมผสานเข้าไปในหนังได้อย่างสมจริง น่าเชื่อ และสมดุลมาก ทั้งในแง่ภาพและความรู้สึก”
“เราสร้างแบบ “ฟิสิกส์”สำหรับตัวละครแต่ละตัวขึ้น” วิลเลี่ยมส์กล่าวต่อ “ตอนนี้มันไม่ใช่หลักฟิสิกส์ของโลกเรา แต่เป็นกลุ่มของฟิสิกส์ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังของตัวละครแต่ละตัว เช่น มิสเตอร์ แฟนตาสติค มีกลุ่มฟิสิกส์ของเขาเอง ซึ่งให้เหตุผลเราถึงวิธีที่ร่างกายเขายืดออกและโค้งงอได้ มันไม่ใช่แค่การยืดผิวหนังเท่านั้น เราต้องพิจารณาว่ากระดูกและกล้ามเนื้อของเขาจะยืดออกอย่างไรด้วย เราต้องออกแบบเอฟเฟกต์ซึ่งทำให้พลังของเขาดูน่าเชื่อ เป็นเอฟเฟกต์ที่จะไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่เชื่อ”
ทิม สตอรี่กล่าวว่า “ความสนุกแท้ๆ ของเรื่องจะวนเวียนอยู่รอบๆ พลังของพวกเขา ผมหมายถึง มีใครบ้างที่ไม่สงสัยว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อเราล่องหนได้ หรือเหาะได้ หรือมีพลังแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ ผมว่าความเป็นเด็กในตัวเราทุกคนจะเชื่อมโยงกับสิ่งเหล่านั้นได้ การได้ดูพวกเขาตอนที่ค้นพบพลังครั้งแรก พวกเขารับพลังนั้นเข้ามาในชีวิตใหม่อย่างไร และ ในที่สุด การใช้มันในการต่อสู้กับผู้ร้ายเป็นสิ่งที่เท่มากๆ เขากล่าวกันว่า เงินคือพลัง แต่สำหรับแฟนตาสติค โฟร์ พลังก็คือพลัง”
ผู้สร้างการ์ตูน สแตน ลี และแจ๊ค เคอร์บี้ คิด เขียน และวาดภาพพลังของมนุษย์กายสิทธิ์ทั้งสี่ และศัตรูคู่ต่อกรของเขา ดร.ดูม เป็นส่วนขยายของบุคลิกตัวละครแต่ละคน สำหรับนักแสดง นี่คือแนวคิดซึ่งนำไปสู่ธรรมชาติที่สมจริงและดูมีชีวิตของฮีโร่และตัวร้าย
“มันเป็นแนวคิดที่ฉลาดจริงๆ” โยอัน กริฟฟิดด์ กล่าว เขาแสดงเป็น รี้ด ริชาร์ด หรือมิสเตอร์ แฟนตาสติค นักวิทยาศาสตร์แสนฉลาด เป็นผู้นำและคนที่เป็นเหมือนพ่อของกลุ่ม “รี้ดเป็นคนที่หลงใหลงานมาก งานหมายถึงทุกอย่างสำหรับเขา คุณจึงใช้เหตุผลอธิบายพลังพิเศษของเขาได้ในหลายๆวิธี เขามักไขว่คว้าหาดาว บางที เขาอาจจะทำให้ตัวเองลีบแบน ด้วยการทำงานและทำการทดลองมากเกินไปในเวลาเดียวกัน แถมเขายังมีบุคลิกที่อ่อนหัด ซึ่งส่งผลกระทบตอ่ความสัมพันธ์ของเขา โดยเฉพาะกับ ซู สตรอม เขามองว่าไกลเกินเอื้อมของเขา”
กริฟฟิดด์ ซึ่งไม่รู้จักการ์ตูน ยอมรับว่าเขาไม่แน่ใจว่าผู้สร้างจะนำความสามารถของรี้ดในการยืดร่างกายให้เป็นรูปทรงและขนาดต่างไ ได้อย่างไร
“ผมติดใจตัวละคร รี้ด ริชาร์ด เพราะเขาเป็นคนฉลาดมาก เอาจริงเอาจังและมีเสน่ห์ แล้วก็ที่สุดแล้ว เขาก็มึคความเป็นวีรบุรุษด้วย” กริฟฟิดด์กล่าว “แต่ผมเป็นห่วงว่าพลังของรี้ดอาจจะดูไม่สมจริง แม้แต่ในโลกของหนังสือการ์ตูน/หนัง ทิมทำให้ผมมั่นใจว่าเทคโนโลยีมาถึงจุดที่เวลาที่รี้ดใช้พลังของเขา มันจะไม่ดูหลอกหรือดูเป็นยาง ทิมอธิบายว่าพลังของรี้ดจะแข็งแรง มีพละกำลัง และดูเป็นผู้ชายมากๆ เราจะได้ยินเสียงกล้ามเนื้อและกระดูกของเขายืดออก ไม่ใช่แค่ผิวหนังของเขาเท่านั้น และมันจะต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่รี้ดยืดตัวมัน จะไม่เป็นพลังแบบไร้ความพยายาม”
ตามคำกล่าวของเจสสิก้า อัลบ้า ในฐานะรูปแบบที่เป็นเหมือนแม่ของกลุ่ม ซู สตรอม/มนุษย์ล่องหน คือ“กาวที่ยึดครอบครัวไว้ด้วยกัน” การแสดงพลังของเธอ นั่นคือ การล่องหนและความสามารถในการปล่อยสนามพลังที่มีพลังแรงมาก จะออกมาจากแก่นทางอารมณ์ที่เหมือนแม่ลึกๆ ในใจของซู
“ซูเป็นนักวิทยาศาสตร์” อัลบ้ากล่าว “ เธอต้องต่อสู้เพื่อให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับในโลกที่ผู้ชายยึดครอง ไม่ว่าจะเป็นในความสัมพันธ์ของเธอกับวิคเตอร์ หรือรี้ด หรือจอห์นนี่ น้องชายของเธอ เธอต่อสู้เพื่อให้มีคนมองเห็น ได้ยิน และตระหนักว่าเธอก็เท่าเทียมกับพวกเขา เธออยากให้พวกเขายอมรับแนวความคิดและความเห็นของเธออย่างจริงจัง และไม่อยากจะถูกมองข้ามหรือเมินเฉย เธอมักจะคิดกับตัวเองว่าเธออาจจะล่องหนได้ ดังนั้นพลังของเธอในการล่องหนได้จะแสดงออกมาโดยขึ้นอยู่กับสภาวะอารมณ์ของเธอในช่วงเวลานั้นๆ”
อัลบ้ากล่าวต่อว่า“เช่นเดียวกับตัวละครทั้งหมด ซูค่อยๆ ค้นพบพลังของเธอและเริ่มตระหนักถึงความเกี่ยวเนื่องกับบุคลิกของเธอเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ถ้าเธอเศร้า เธออาจจะล่องหน แล้วถ้าเธอโกรธ เธอส่งส่งสนามพลังออกมาได้อย่างรุนแรง เมื่อถึงเวลาที่เธอต่อสู้กับ ดร.ดูม เธอแข็งแกร่งมากขึ้นมาก มั่นใจมากขึ้น และระมัดระวังน้อยลงกว่าที่เธอเคยเป็นก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุบนสถานีอวกาศ”
สแตน ลีนึกถึงความตั้งใจของเขาตอนที่สร้างซู สตรอม ขึ้นมาว่า “ผมไม่อยากให้ซูเป็นตัวละครผู้หญิงในการ์ตูนแบบทั่วๆ ไป ซึ่งมักจะร้องขอความช่วยเหลือเสมอ ผมไม่อยากให้เธอเป็นหญิงสาวที่มีแต่ความซึมเศร้า ผมอยากให้เธอเป็นส่วนประกอบสำคัญของทีม ผมจึงมอบความสามารถที่น่าสนใจมากให้เธอถึงสอง อันที่จริง บางคนคิดว่าการรวมกันของพลังของซูทำให้เธอเป็นคนมีพลังสูงสุดในกลุ่ม”
“การล่องหนเป็นงานวิชวล เอฟเฟกต์ที่ท้าทายมาก” เคิร์ท วิลเลี่ยมส์กล่าว “เพราะมุมมองเกี่ยวกับตัวละครของทิมคือการใช้การแสดงนำ เราจึงตัดสินใจที่จะเก็บลักษณะบางอย่างของเจสสิก้าเอาไว้เวลาที่เธอล่องหน เช่น จะมีสัญญาณบางๆ อยู่เสมอว่าเธออยู่ที่นั่นแม้แต่เวลาที่คุณมองเธอไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของริมฝีปากของเธอหรือดวงตา หรือว่าผมของเธอ มันเป็นเอฟเฟกต์ที่ละเอียดอ่อนมาก และมันสะท้อนถึงความบอบบางที่เจสสิก้านำมาสู่บทบาทนี้”
“ขั้นตอนในการล่องหนเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก และยากกว่าที่ฉันคาดเอาไว้” อัลบ้ากล่าว “ฉันต้องเล่นทุกฉากสองครั้ง มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่ฉันต้องสร้างอารมณ์หลายครั้งไม่ว่าจะมีนักแสดงนั่งอยู่ตรงข้ามฉันหรือไม่ก็ตาม”
น้องของซู สตรอม จอห์นนี่ สตรอม/มนุษย์คบเพลิง แสดงโดยคริส อีแวนส์ เป็นสมาชิกคนที่สามของครอบครัวมนุษย์กายสิทธิ์ สำหรับอีแวนส์ ความคิดเรื่องการเล่นเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่เลือดร้อนและใจร้อนแต่เท่ตลอดกาล มาหาเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
อีแวนส์ กล่าวว่า “มันคือความฝันของเด็กผู้ชายทุกคน มีเด็กคนไหนบ้างที่ไม่เอาผ้าเช็ดตัว
มาพันรอบคอแล้วกระโดดจากโซหาเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ แม้ว่าผมยังค่อนข้างใหม่กับปรากฏการณ์
แฟนตาสติค โฟร์ ผมบอกได้ว่าจอห์นนี่จะต้องเป็นบทที่เล่นแล้วสนุกมาก เขาคือตัวอย่างของคนหนุ่มที่ต้องการจะสนุกสนาน เขาคือคนบ้าบิ่น เขาเล่นสโนว์บอร์ด ขี่มอเตอร์ไซค์วิบาก และเป็นนักบินของยานอวกาศ เขามีทัศนคติของการไม่อาจเอาชนะได้ และเพลิดเพลินกับการอยู่ในความสนใจของผู้คน เขาใช้ชีวิตอยู่เพื่อรถเร็วๆ ผู้หญิงใจเร็ว และเสียงปรบมือ อ้อ ใช่ ผมลืมบอกไปว่าเขาระเบิดตัวเองเป็นเปลวเพลิงได้ และยังเหาะได้ด้วย ไม่มีอะไรจะเรียกร้องความสนใจได้มากกว่านี้แล้ว”--จบ--