กรุงเทพฯ--1 ต.ค.--ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น
SUPER เดินหน้าตามแผน ยื่นไฟลิ่งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน"SUPEREIF" มูลค่า 8,500 – 9,000 ล้านบาทให้สำนักงานก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว คาดปลายเดือนม.ค.-ต้นก.พ.ปี 62 พร้อมเสนอขายหน่วยลงทุน ด้าน"จอมทรัพย์ โลจายะ" แจงวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินชำระคืนหนี้ ลดต้นทุนทางการเงิน พร้อมรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต มั่นใจรายได้และธุรกิจเติบโตแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้น
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2561บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนได้ยื่นข้อมูลขอจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (Super Energy Power Plant Infrastructure Fund หรือ "SUPEREIF" ) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีขนาดกองทุนมูลค่า 8,500 – 9,000 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถจัดตั้งกองทุนฯได้ภายในปลายเดือนมกราคม – ต้นกุมภาพันธ์ 2562
ทั้งนี้สินทรัพย์ที่จะขายเข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือ อินฟราฟันด์ จะมาจากสินทรัพย์ที่คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติก่อนหน้านี้ โดยให้บริษัท17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง จำกัด ("17AYH") และ บริษัท เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ("HPM") ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SUPER ทำรายการจำหน่ายสินทรัพย์ในโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 19 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 118 เมกะวัตต์ ให้กับกองทุนฯ รวมทั้งคณะกรรมการยังได้อนุมัติให้บริษัทฯทำธุรกรรมซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าวได้ในสัดส่วน 15- 20 %
ส่วนเงินที่ได้รับจากการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวบริษัทฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปชำระคืนหนี้ และรองรับการขยายงานทั้งในประเทศและต่างประเทศภายในอนาคต
" การจัดตั้งกองทุนอินฟราฟันด์ที่ผ่านมาได้ทำงานกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อให้สามารถจัดตั้งกองทุนฯ และให้ยื่นไฟลิ่งได้ในช่วงต้นตุลาคมตามเป้าหมาย ส่วนกระบวนการทำงานคงจะสามารถจัดตั้งกองทุนฯและเสนอขายหน่วยลงทุนได้ในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเป้าหมายหลักๆจะนำไปชำระหนี้เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ย และใช้ในการขยายการลงทุนในอนาคต ซึ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจทำให้มีเงินทุนรองรับการเติบโตที่แข็งแกร่งมากขึ้น รวมทั้งคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคตได้อย่างแน่นอน" จอมทรัพย์กล่าว
ในส่วนผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 2561 คาดว่าบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยทั้งปียังคงคาดว่าจะมีรายได้ 6,000 ล้านบาท รวมทั้งสามารถสร้างรายได้ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD)ในโครงการต่างๆ ทั้งโรงไฟฟ้าขยะ จ.สระแก้ว ขนาดกำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าสหกรณ์การเกษตร เฟส 2 ขนาดกำลังการผลิต 28 เมกะวัตต์ เป็นต้น ซึ่งจะเห็นความชัดเจนในช่วงปลายปีนี้ และจะทยอยรับรู้รายเต็มปีในปีหน้า ซึ่งจะผลักดันให้กระแสเงินสดมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังมีโครงการต่างๆในต่างประเทศที่จะเข้ามาสนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตเพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย