กรุงเทพฯ--1 ต.ค.--บลจ.กสิกรไทย
นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ปรับลดค่าธรรมเนียม 3 กลุ่ม ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ขาเข้า และค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ในกองทุนกลุ่ม Passive Fund ซึ่งมีกลยุทธ์การบริหารกองทุนแบบเชิงรับ (Passive Management Strategy) ที่เน้นลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง ประกอบด้วยกองทุนหุ้นไทย 4 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค เซ็ท 50 (K-SET50), กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นธุรกิจธนาคาร (K-BANKING), กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นธุรกิจพลังงาน (K-ENERGY) และกองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นธุรกิจเทคโนโลยีและการสื่อสาร (K-ICT) นอกจากนี้ยังมีกองทุนหุ้นต่างประเทศ 5 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นจีน (K-CHX), กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นยุโรป (K-EUX), กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นอินเดีย (K-INDX), กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น (K-JPX) และกองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A ชนิดจ่ายเงินปันผล (K-USXNDQ-A(D)) รวมทั้งสิ้น 9 กองทุน โดยการเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2561
"ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) มีการปรับลดทั้ง 9 กองทุน จากเดิมที่เรียกเก็บจากกองทุนในอัตรา 0.50% ต่อปีของมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ปรับลดมาอยู่ที่ 0.35% ต่อปีของ NAV ทั้งนี้สำหรับผู้ลงทุนรายย่อยถือว่าได้ลงทุนในกองทุนหุ้นไทยกลุ่ม Passive Fund ที่มีค่าธรรมเนียมการจัดการต่ำสุดในอุตสาหกรรม สำหรับค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ขาเข้า (Brokerage-In Fee) และค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (Exit Fee) มีการปรับลดเฉพาะกองทุนหุ้นไทย ได้แก่ กองทุน K-SET50, กองทุน K-BANKING, กองทุน K-ENERGY และกองทุน K-ICT จากเดิมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยในอัตรา 0.15% ของมูลค่าซื้อขาย ปรับลดมาอยู่ที่ 0.10% ของมูลค่าซื้อขาย ส่วนกองทุนหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ กองทุน K-CHX, กองทุน K-EUX, กองทุน K-INDX, กองทุน K-JPX และกองทุน K-USXNDQ-A(D) ไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ขาเข้า (Brokerage-In Fee) และค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (Exit Fee) ซึ่งปัจจุบันเรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยในอัตรา 0.15% ของมูลค่าซื้อขาย ทั้งนี้อัตราค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม" นางสาวยุพาวดีกล่าว
นางสาวยุพาวดีกล่าวต่อไปว่า กองทุนกลุ่ม Passive Fund เป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาวจากการเติบโตของตลาดหุ้น หรือผู้ลงทุนที่สามารถจับจังหวะซื้อขายทำกำไรตามการเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิง ซึ่งบลจ.กสิกรไทยแนะนำให้เข้าลงทุน (Overweight) ในกองทุนเปิด K-CHX โดยมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจในจีนเติบโตในระดับที่มีเสถียรภาพภายใต้กรอบที่วางไว้ของภาครัฐ อีกทั้งระดับราคาหุ้นซื้อขายอยู่ในระดับที่ถูกกว่าประเทศอื่นในเอเชียและภูมิภาคอื่น นอกจากนี้ยังแนะนำกองทุน K-EUX โดยมีปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งสะท้อนได้จากตัวเลข GDP ในไตรมาส 2 ขยายตัวได้ดี ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers Index : PMI) ยังอยู่ในระดับสูง และอัตราการว่างงานต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี อีกทั้งราคาหุ้นยุโรปอยู่ในระดับสมเหตุสมผล (Fair Value) เมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามในประเด็นการเจรจาทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจสร้างความผันผวนในระยะสั้น และการเจรจา Brexit ก่อนจะออกจากสหภาพยุโรปในเดือนมีนาคมปีหน้า
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนดังกล่าว สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุน ได้ที่ www.kasikornasset.com หรือบลจ.กสิกรไทย หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายกองทุน ก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุน K-SET50 ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออก จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก กองทุน K-BANKING, K-ENERGY และ K-ICT ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกและหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก กองทุน K-CHX, K-EUX, K-INDX, K-JPX และ K-USXNDQ-A(D) มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากกองทุนมิได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนจึงอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้