กรุงเทพฯ--1 ต.ค.--บล.ทรีนีตี้
ทรีนีตี้ มองตลาดหุ้นเดือนตุลาคม ยังคงแนะให้เลือกลงทุนกลุ่มหุ้นปันผลสูง (SETHD)ที่จากสถิติในอดีตราคาจะปรับขึ้นโดดเด่นในเดือนนี้ ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อตลาดภาพรวมคือราคาน้ำมันตลาดโลกที่ยังอยู่ระดับสูงช่วยดันราคาหุ้นพลังงาน ขณะที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยเฟดไม่น่ากังวล เพราะตลาดได้ Price in ไปแล้วขณะที่การเลือกตั้ง มองว่าปรากฏการณ์ Election Rally ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้าเลือกตั้งไปจนถึง 1 สัปดาห์หลังการเลือกตั้งเท่านั้น
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัดเปิดมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนตุลาคม ว่าดัชนีหุ้นไทยเดือนนี้จะแกว่งตัว Sideways โดยมองกรอบแนวรับไว้ที่ 1,700 จุดและ 1,680 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,780 จุด
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจหากจะต้องมีการเข้าลงทุนใหม่ ในช่วงนี้ ได้แก่กลุ่มหุ้นปันผลสูง (SETHD) ที่ราคายังคงปรับตัว Laggard ตลาด หากนับตั้งแต่ต้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา และที่สำคัญ ทรีนีตี้พบว่าจากสถิติในอดีต กลุ่มหุ้นปันผลสูงนี้ ราคาหุ้นมักปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในเดือนตุลาคมของทุกปี เมื่อคิดผลตอบแทนในแง่ของTotal return สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือนนี้ แนะให้ชะลอดูสถานการณ์ จนกว่าดัชนีจะมีการปรับตัวไปยังกรอบแนวรับหรือแนวต้าน จึงค่อยใช้เป็นจังหวะในการเข้าลงทุนหรือขายทำกำไร
นายณัฐชาต กล่าวว่า สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นเดือนตุลาคม คือการคาดการณ์ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่จะยืนอยู่ในระดับสูงต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังจากที่สหรัฐอเมริกาเตรียมบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่านเป็นรอบที่ 2 ในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งน่าจะทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันของอิหร่านปรับตัวลดลงจากปัจจุบันอีก ส่งผลบวกโดยตรงต่อกลุ่มพลังงาน และน่าจะเป็นปัจจัยประคับประคอง SET Index ที่สำคัญ
ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ตามที่ตลาดคาดไว้ และคงจะมีการเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในการประชุมเดือนธันวาคมนี้อย่างแน่นอน มองว่าไม่ใช่สิ่งที่จะต้องตกใจเกินไปนัก เนื่องจาก ณ ขณะนี้ตลาดได้ Price in เหตุการณ์ดังกล่าวไปแล้วเกือบ 80%
อย่างไรก็ดีจากประมาณการล่าสุด Fed ยังคงให้น้ำหนักกับการขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 3 ครั้งในปีหน้าเช่นเดิม ทำให้ประเมินว่า Bond yield และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะยังทรงตัวได้ในช่วงต้นไตรมาส 4 และทำให้ยังไม่มีปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่จะทำให้กระแสเงินทุนหรือ Fund flow ไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่มากนัก
ส่วนปัจจัยสำคัญอื่นๆจากต่างประเทศที่ต้องติดตาม เพราะมีผลต่อตลาดในภาพรวมคือ กำหนดการReview อันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีจากสถาบันจัดอันดับต่างๆในเดือนนี้ ซึ่งทรีนีตี้คาดว่าสถาบัน S&P จะมีการลดแนวโน้มอันดับเครดิตจาก 'มีเสถียรภาพ' สู่ 'เชิงลบ' ส่วนกรณีที่แย่ที่สุดต่อตลาดหุ้นคือหาก Moody's ตัดสินใจลดอันดับเครดิตอิตาลีลงจากเดิมที่ Baa2 อาจทำให้เกิดปัจจัยรบกวนในตลาดทุนได้ รวมทั้งยังให้ติดตามการประชุม EU Summit ในวันที่ 18-19 ตุลาคมนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับแผนการและขั้นตอนการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร( Brexit) ที่มีรายละเอียดเชิงลึกมากขึ้น แต่หากการเจรจายังคงมีความวุ่นวาย อาจเป็นปัจจัยรบกวนต่อตลาดทุนได้อีกเช่นกัน
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์การเมืองการเลือกตั้งนั้น ณัฐชาตระบุว่า ยังไม่ให้น้ำหนักปัจจัยนี้มากนัก เนื่องจากหากอ้างอิงการศึกษาของเราในอดีตแล้วจะพบว่าปรากฏการณ์ Election Rally ที่แท้จริงของตลาดหุ้นไทยจะเกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้าไปจนถึง 1 สัปดาห์หลังการเลือกตั้งเท่านั้น ดังนั้นจึงประเมินว่า การจะมีมุมมอง Bullish ต่อตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่วันนี้เพียงเพราะปัจจัยดังกล่าว อาจเป็นกลยุทธ์ที่ยังไม่เหมาะสมนัก แต่หากต้องการลงทุนตามธีมดังกล่าวตั้งแต่วันนี้ มองว่าสามารถโฟกัสไปยังกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมได้ เนื่องจากมักเป็นกลุ่มที่ Outperform โดดเด่นก่อนหน้าการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร