กรุงเทพฯ--2 ต.ค.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์
ถ้าพูดถึง "อินเดีย" คุณนึกถึงอะไร?
เชื่อว่าหลายคนคงจินตนาการถึงพาหุรัด ทัชมาฮาล เครื่องเทศ โรตี ส่าหรี นาคิน ฯลฯ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดนะ แต่ว่ามันก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของประเทศเขาเท่านั้นเอง คล้ายๆ กับเวลาชาวต่างชาติพูดถึง "ไทย" แล้วเขานึกถึงแค่ช้าง ตุ๊กตุ๊ก ส้มตำ ต้มยำกุ้ง ยังไงล่ะ แน่นอนว่าในความเป็นจริงแล้วทุกประเทศก็ล้วนมีดีในแบบของตัวเอง รวมถึงประเทศอินเดีย ดินแดนที่รุ่มรวยไปด้วยอารยธรรมโบราณ และมนต์เสน่ห์อันน่าค้นหา วันนี้ PBIC Thammasat จะขอพาทุกๆ คนไปทำความรู้จักกับประเทศอินเดียฉบับพื้นฐานใน "อินเดีย101: รวมเรื่องน่าทึ่งแดนภารตะ"
แล้วคุณจะรู้จัก "อินเดีย" มากขึ้นแบบไม่รู้ตัว
1) 17% ของคนบนโลก อาศัยอยู่ที่อินเดีย
หลายคนอาจจะเคยได้ยินอยู่แล้วว่าประเทศอินเดียมีคนเยอะ ซึ่งความจริงคือเยอะมากกกกก โดยประเทศอินเดียมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก และมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนจำนวนมหาศาลถึง 1.35 พันล้านคน (17.7% ของจำนวนประชากรโลก) เป็นรองเพียงประเทศจีนซึ่งมีประชากรสูงถึง 1.42 พันล้านคน (18.6% ของจำนวนประชากรโลก)แต่สงสัยจะยังเยอะไม่พอ! องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าในปี 2024 จำนวนประชากรในประเทศอินเดียจะเยอะขึ้นไปอีก โดยพุ่งสูงขึ้นเป็น 1.44 พันล้านคน เนื่องด้วยอัตราการเติบโตของประชากรเป็นไปอย่างรวดเร็ว อย่างทุกวันนี้ประชากรอินเดียก็เติบโตอยู่ที่1.11% ส่วนประชากรจีนเติบโตเพียง 0.39% ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็จะทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรเยอะที่สุด แซงจีนไปโดยปริยาย
2) เศรษฐกิจสุดปัง รั้งเบอร์ 6 ของโลก
เรามักจะคุ้นชินกับการบอกเล่าเรื่องชุมชนคนยากจนในอินเดียที่ชอบมาขอเศษตังค์นักท่องเที่ยวกันใช่ไหม แน่นอนว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมันก็มีแหละ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจประเทศเขาไม่ดีนะ ตรงกันข้ามเสียอีกเพราะจริงๆ แล้วอินเดียมีเงินเยอะมากๆ โดยจากรายงานของธนาคารโลกปี 2017 บอกว่า อินเดียได้ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก ตามหลังประเทศสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี และอังกฤษ
โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ของประเทศอินเดียเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.597 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้าประเทศฝรั่งเศสซึ่งมีจีดีพีอยู่ที่ 2.582 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว นอกจากนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ก็ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตร้อยละ 7.4 ในปีนี้ และร้อยละ 7.8 ในปีหน้า ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจโลกอยู่ที่เพียงร้อยละ 3.9เท่านั้น พูดง่ายๆ ก็คือรวยมาก และจะรวยขึ้นไปอีก!
3) เลือกตั้งโปร่งใส รัฐบาลไม่แทรกแซง
อินเดียถือได้ว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยระบบรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก การปกครองของอินเดียมีรัฐธรรมนูญเป็นแม่บท มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และประมุขของฝ่ายบริหารตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่อำนาจในการบริหารที่แท้จริงอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมาจากการเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี
ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2557 ที่ดูแลโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งของอินเดีย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นองค์กรอิสระที่ดำเนินงานด้วยความเป็นกลาง และสามารถปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาลนั้น มีผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสูงถึงร้อยละ 66.4
สำหรับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนายนเรนทร โมดี (Narendra Modi) เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 15 ของอินเดีย ส่วนประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายราม นาถ โกวินท์ (Mr. Ram Nath Kovind) เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 14 ของอินเดีย
4) ดินแดนแห่งศาสนา และภาษานับร้อย
นอกจากครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันทางสังคมที่สำคัญที่สุดของชาวอินเดียแล้ว ศาสนาก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ชาวอินเดียยึดถือในการดำเนินชีวิต โดยประชากรร้อยละ 81.3 นับถือศาสนาฮินดู ร้อยละ 12 นับถือศาสนามุสลิม ร้อยละ 2.3 นับถือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 1.9 นับถือศาสนาซิกข์ และร้อยละ 2.5 นับถือศาสนาอื่นๆ อันได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน และอีกกว่า 400 ศาสนา
สำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวันนั้น ประชาชนส่วนใหญ่จะใช้ภาษาฮินดีเป็นหลัก ส่วนภาษาที่ใช้ในวงราชการ และธุรกิจคือภาษาอังกฤษ นอกจากนั้นก็ยังมีภาษาท้องถิ่นอีกนับร้อยภาษา แต่ที่ใช้กันมากมี 14 ภาษา เช่น เบงกาลี เตลูกู มราฐี ทมิฬ และอูรดู เป็นต้น
5) ร้อนจนเหงื่อไหล หนาวจนไอออกปาก
ด้วยความที่ประเทศอินเดียมีขนาดค่อนข้างใหญ่ กินพื้นที่ไปตั้งแต่ละติจูดที่ 8 องศา 4 ลิปตา ถึง 37 องศา 6 ลิปตาเหนือ และลองติจูด 68 องศา 7 ลิปตา และ 97 องศา 25 ลิปตา ตะวันออก ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศตั้งแต่เหนือจรดใต้มีความแตกต่างกันมาก ไหนจะปัจจัยจากมรสุมอีก โดยในวันเวลาเดียวกัน บางพื้นที่อาจร้อนสุดๆ จนทนไม่ไหว บางพื้นที่ก็หนาวจนไอออกปากกันเลยทีเดียว
ถ้าถามว่าร้อนสุดๆ คือแค่ไหน เมื่อ 2 ปีก่อน อุณหภูมิในโพลาดี เมืองที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายในรัฐราชสถานทางตอนเหนือของประเทศอินเดียฟาดไปถึง 51 องซาเซลเซียส แต่ก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะไม่ได้ร้อนเบอร์นี้ทุกเมือง ส่วนพื้นที่หนาวๆ ก็หนาวแบบหิมะตก อุณหภูมิยิงยาวตั้งแต่เลขตัวเดียว ไปจนติดลบหลักสิบเลย เพราะฉะนั้นใครจะไปเยือนอินเดีย ต้องเช็คสภาพอากาศแต่ละพื้นที่ให้ดีก่อนนะ!
6) 1 ใน 4 ของชาวอินเดียเป็นมังสวิรัติ
จากการสำรวจโดย Registrar General of India ในปี 2014 พบว่าชาวอินเดียที่กินมังสวิรัติมีประมาณ 25% ของคนทั้งประเทศ โดยเฉพาะรัฐทางฝั่งตะวันตกของประเทศอย่าง รัฐราชสถาน รัฐหรยาณา รัฐปัญจาบ และรัฐคุชราต จะมีเปอร์เซ็นต์ประชากรที่เป็นมังสวิรัติสูงถึง 60 – 75% โดยภาพรวมแล้วอาจเรียกได้ว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีผู้คนรับประทานมังสวิรัติมากที่สุดในโลกเลยทีเดียว
โดยการรับประทานมังสวิรัติของชาวอินเดียมีความเกี่ยวพันกับความเชื่อทางศาสนา และสถานะทางชนชั้นเป็นสำคัญ ด้วยความเชื่อที่ว่าการรับประทานมังสวิรัติเป็นการรักษาความบริสุทธิ์ของร่างกายและจิตใจ ฉะนั้นผู้อยู่ในวรรณะสูงมักจะไม่ข้องเกี่ยวกับเลือด เนื้อ หรือสิ่งสกปรก แต่ก็ไม่ถึงกับกินเนื้อไม่ได้ เพราะในบางรัฐก็ยังมีการกินปลา กินแพะ ให้เห็นอยู่เช่นกัน
7) ระยะทางรถไฟต่อวัน ไป-กลับดวงจันทร์ได้ถึง 4 รอบ
อินเดียมีเครือข่ายทางรถไฟใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากประเทศสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย ซึ่งถือเป็นการคมนาคมหลักของประเทศ โดยข้อมูลจากกระทรวงการรถไฟของอินเดียปี 2016-17 ระบุว่า เส้นทางรถไฟมีความยาวถึง 67,368 กิโลเมตร ให้บริการรถไฟกว่า 11,000 ขบวนต่อวัน ครอบคลุมสถานี 7,349 แห่งทั่วประเทศ รวมระยะทางที่รถไฟวิ่งต่อวันประมาณ 3.23 ล้านกิโลเมตร หรือเทียบได้กับการเดินทางไป-กลับ ดวงจันทร์ถึง 4 รอบ!
ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 2017-18 ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ระบบรถไฟอินเดียขนส่งผู้โดยสารรวมกว่า 8.26 พันล้านคน และบรรทุกสินค้าไปกว่า 1.16 พันล้านตัน และด้วยจำนวนงานอันมหาศาลนี้ทำให้การรถไฟอินเดียต้องมีพนักงานจ้างมากกว่า 1.3 ล้านคน เลยทีเดียว ถ้าได้ไปเที่ยวอินเดียแต่ไม่ได้ขึ้นรถไฟ ก็เหมือนไปไม่ถึงนะบอกเลย!
8) ศูนย์รวมแห่งปัญญา มหาปราชญ์ และนักคิด
อินเดียเป็นดินแดนที่พำนักของนักปราชญ์มากมาย หลายคนมีอิทธิพลทางความคิด และจิตวิญญาณเป็นอย่างมากต่อสังคมโลก โดยเฉพาะท่านโมหันทาส การามจันทร์ คานธี หรือที่เราคุ้นหูกันในนาม 'มหาตมะ คานธี' บุคคลธรรมดาที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องอิสรภาพให้กับแผ่นดินถิ่นเกิดด้วยสันติวิธี จนมีเอกราชมาจนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งท่านยังเป็นนักคิด นักเขียน ผู้ลุ่มลึก และคมคาย เป็นที่ยกย่องของคนไปทั่วโลก
หรืออย่าง 'รพินทรนาถ ฐากุร' ท่านเป็นนักปรัชญา และกวีชาวอินเดียผู้มีบทบาทในการต่อต้านรัฐบาลอังกฤษ และร่วมเคลื่อนไหวประกาศเอกราชของอินเดีย ผลงานของท่านเรื่อง 'คีตาญชลี' เป็นที่รู้จัก และได้รับการยกย่องในระดับสากล โดยท่านได้รับรับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม ในปี 1913 และถือเป็นชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลอีกด้วย
รวมไปถึงอีกหนึ่งปราชญ์ที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือ 'ดร.อัมเบ็ดการ์' ท่านเป็นจัณฑาลคนแรกที่ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของอินเดีย หลังจากที่อินเดียได้รับเอกราช และเป็นผู้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญของอินเดียฉบับแรกที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยท่านมีความมุ่งมั่นที่จะปลดแอกปัญหาชนชั้นที่ฝังรากลึกมากว่าห้าพันปีในชมพูทวีปด้วยวิถีพุทธ ครั้งหนึ่งท่านได้นำชาวอินเดียห้าแสนคนประกาศตัวเป็นพุทธมามกะพร้อมกันที่เมืองนาคปุระ ซึ่งถือเป็นคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาในอินเดียอย่างสูง ความตั้งใจดีที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ของท่านทำให้มีผู้คนยกย่องนับถือท่านเป็นจำนวนมาก และยังได้รับการขนานนามว่าเป็น 'รัตนบุรุษแห่งชมพูทวีป' อีกด้วย
9) เรียนต่ออินเดีย ไม่ต้องเพลียค่าเทอม
เป็นที่ยอมรับกันในระดับนานาชาติ ว่าประเทศอินเดียเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการศึกษาของโลก โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ วิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีจุดเด่นในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาผสมผสานในการเรียนการสอน และสื่อสารเป็นอังกฤษทั้งหมด อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าเพียง 1 ใน 4 เมื่อกับประเทศอเมริกา แคนาดา หรือออสเตรเลีย จึงนับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ สำหรับการศึกษาต่อของคนทั่วโลก โดยปัจจุบันอินเดียมีมหาวิทยาลัยรวมถึง 867 แห่งทั่วประเทศ
แล้วรู้กันหรือเปล่าว่าในประเทศไทยเองก็มีหลักสูตร "อินเดียศึกษา" ด้วยนะ สำหรับหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรปริญญาตรีที่เปิดสอนโดยวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอินเดีย และมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของอินเดียในการจัดการเรียนการสอน โดยนอกจากจะมีการเชิญอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากอินเดียมาร่วมสอนแล้ว นักศึกษาก็ยังมีโอกาสที่จะได้ไปเล่าเรียน และใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัยในประเทศอินเดีย อย่างน้อย 1 ภาคการศึกษาด้วย!
สำหรับใครที่อยากรู้ว่าอินเดียศึกษาเรียนอะไรบ้าง สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.pbic.tu.ac.th/main/sites/default/files/IndianS-edit.pdf หากเรียนดีมีทุนการศึกษาให้ด้วยนะจะบอกให้!